เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
คำว่าขุนช้างเป็นโทษปรากฏอยู่ในวรรณคดีเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างเกิดทะเลาะวิวาท กับพระไวย (พลายงาม)
ขุนช้างนั้นเป็นเศรษฐีเมืองสุพรรณ มั่งคั่งใหญ่โตมาก แต่ทั้งขุนช้างและพระไวยต่างก็เป็นข้าราชการ อยู่กับสมเด็จพระพันวษา พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาจึงต้องเสด็จออกวินิจฉัย ชำระความด้วยพระองค์เองเพื่อความเป็นธรรมอย่างไม่เห็นแก่หน้าขุนนางหรือเศรษฐี
กรณีนี้ปราชญ์ทางวรรณคดีอธิบายเอาไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนมักเสด็จออกประทับนั่งชำระความด้วยพระองค์เอง ดังจะเห็นได้ว่านามพระที่นั่งบางที่จึงได้มีคำว่าวินิจฉัย อย่างเช่นพระที่นั่ง อมรินทรวินิจฉัย เป็นต้น
กรณีขุนช้างเมื่อแรก ขุนช้างเป็นโจทก์นำความขึ้นทูลฟ้องกล่าวโทษพระไวยก่อน ด้วยข้อหาว่า พระไวยทำร้ายร่างกายตน แต่ครั้นสอบสวนไปมาขุนช้างกลับตกเป็นจำเลย ในคดีอาญาที่ได้ก่อไว้แต่ปางก่อน
เหตุก็เพราะขุนช้างเกิดเมาเหล้าในงานแต่งงาน นอกจากว่าจะเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นก่อนแล้ว ขุนช้างยังได้พลั้งปากเผยความลับเมื่อหลายปีก่อนออกมาว่าเคยทำร้ายและคิดฆ่าพระไวยตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ด้วยการบีบคอและเอาขอนไม้ทับ
ขุนช้างจึงต้องถูกคดีอาญาร้ายแรงในข้อหาฆ่าคนตาย
ในบทกลอนท่อนหนึ่งได้กล่าวถึงพระวินิจฉัยในสมเด็จพระพันวษา ทรงเห็นว่า
“อ้ายขุนช้าง เอามุสามาพาที ในคดีพิรุธทุกประการ
แต่พยานร่วมกันยังติดใจ ผิดวิสัยความหลวง กระทรวงศาล”
ดังนั้นต่อมาจึงต้องมีการดำน้ำพิสูจน์คู่กรณีทั้งสองฝ่าย
พิธีพิสูจน์ดำน้ำเป็นกระบวนการสอบสวนความคู่กรณีตามประเพณีโบราณอย่างหนึ่ง และเมื่อสมเด็จพระพันวษามีพระราชโองการสั่งให้ขุนช้างกับพระไวยดำน้ำตามพิธีแล้ว ปรากฏว่า ขุนช้างดำน้ำแพ้ถึง 2 ครั้ง
สมเด็จพระพันวษาทรงเหลืออดถึงกับด่าขุนช้างว่าเป็น “อ้ายโกหกแผ่นดินลิ้นกะลาวน ชอบแต่เฆี่ยนเสียให้ป่นคนเช่นนี้” จึงให้ขุนช้างต้องโทษถึงประหารชีวิต
ขุนช้างจึงต้องแกล้งทำเป็นบ้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินเข้าคุกไปรอรับโทษในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขุนช้างก็ยังต่างไปจากนักโทษอีกหลายคนที่ไม่เคยโวยวาย ไม่เคยด่ากล่าวหาว่า กระบวนการทางศาลหรือระบบยุติธรรมไทยใช้ไม่ได้ไม่เป็นธรรมหรือว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง ก็เพราะขุนช้างรู้ดีอยู่แก่ใจตนว่าได้ทำอะไรลงไปในอดีตที่ผ่านมา
ตามท้องเรื่องขุนช้างจึงได้รับพระราชทานอภัยโทษในเวลาต่อมา และได้ออกจากคุกพ้นโทษ กลับมาอยู่กับครอบครัวได้ตามปกติเหมือนเดิม
เล่าเรื่องขุนช้างเป็นโทษจากวรรณคดีมานี้ ก็เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างครับ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตัวละครใน ขุนช้างขุนแผน |
ชาคริต แย้มนาม |
ชาย |
แก่นแก้ว วันทอง |
ขุนศรีวิชัย (พ่อ) เทพทอง (แม่) พลายงาม (ลูกบุญธรรม) |
ศาสนาพุทธ |
สุพรรณบุรี |
กรุงศรีอยุธยา |
ขุนช้าง เป็นตัวร้ายของวรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน
ประวัติ[แก้]
ขุนช้างเป็นลูกของขุนศรีวิชัยกับนางเทพทอง เกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ขุนศรีวิชัยเป็นเศรษฐีของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกรมช้างนอก ขุนช้างเป็นเพื่อนเล่นกับพลายแก้ว(ขุนแผน)และนางพิมพิลาไลยมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แต่แล้วก็เกิดเรื่องเลวร้ายกับครอบครัวขุนช้าง(เช่นเดียวกับครอบครัวพลายแก้วและครอบครัวพิมพิลาไลย)เมื่อมีโจรกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาปล้นเรือน ขุนศรีวิชัยได้ถูกโจรฆ่าตาย โจรก็เอาทรัพย์สมบัติไปจำนวนหนึ่งเพราะทรัพย์สมบัติของขุนศรีวิชัยมีจำนวนมากทำให้พวกโจรขนไปไม่หมด หลังจากนั้นนางเทพทองก็ปกครองดูแลบ้านแทนสามีที่ตายและเลี้ยงดูขุนช้างเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไป ขุนช้างก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และก็ได้เป็นเศรษฐีดูแลกิจการแทนแม่ของตน ขุนช้างก็มีภรรยาหนึ่งคนชื่อนางแก่นแก้ว แต่นางนั่นก็สิ้นใจไปไม่ถึงปี ขุนช้างก็จึงคิดที่จะมีภรรยาคนใหม่โดยคิดจะจีบนางพิมพิลาไลย เพื่อนสมัยเด็ก แต่นางพิมก็ไม่เล่นด้วย ต่อมาขุนช้างก็ได้ไปเข้าร่วมฟังเทศน์มหาชาติที่วัดป่าเลไลย์ โดยมีเณรพลายแก้ว(เพื่อนสมัยเด็กอีกคนหนึ่ง) เทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมโกรธ
ขุนช้างยังไม่ลดละความพยายามที่จะเอานางพิมมาเป็นภรรยาจึงขอให้นางเทพทองผู้เป็นมารดาไปสู่ขอนางพิมที่บ้านของนาง นางพิมก็เห็นท่าไม่ดีจึงเร่งรัดให้เณรพลายแก้วให้มาสู่ขอตนโดยเร็ว ซึ่งนางก็ยื่นเงินมาถุงหนึ่งมาให้พลายแก้วเป็นค่าสิดสอด หลังจากนั่นเณรพลายแก้วก็สึกแล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมและแต่งงานกัน เมื่อขุนช้างทราบข่าวก็โกรธแค้นพลายแก้วและคิดหาวิธีที่จะแย่งนางพิมไปจากพลายแก้วให้ได้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม
ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามาราถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ห่างไกลนางพิม สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมาแล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่
ต่อมาขุนช้างทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทอง(เปลี่ยนจากนางพิม)ดูว่าพลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย นางวันทองไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่แต่นางไม่ยอมเข้าหอ
ต่อมาเมื่อนางวันทองทราบว่าพลายแก้วยังไม่ตาย เดินทางกลับมาจากรบศึกและได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน แต่ขุนแผนก็ได้นางลาวทอง บุตรสาวของแสนคำแมน นายบ้านแห่งจอมทองกับนางศรีเงินยวงมาเป็นภรรยา ทำให้นางวันทองโกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี นางวันก็ยอมตกเป็นภรรยาของขุนช้างด้วยความจำใจ
ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่า นางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างก็ใส่ร้ายว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหาภรรยา สมเด็จพระพันวษาโกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวังและสั่งไม่ให้ขุนแผนเข้าวังอีกทำให้ขุนแผนแค้นขุนช้างมาก
เวลาผ่านขุนแผนก็ได้กลับมาที่เมืองสุพรรณบุรีเพื่อมาแย่งชิงนางวันทองจากขุนช้าง ขุนแผนก็ไปที่บ้านของขุนช้างสะกดคนให้หลับหมดแล้วขึ้นไปบนบ้านก็ไปปลุกนางวันทองพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไป ขุนช้างไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา พระองค์ให้ทหารตามจับขุนแผน แต่ถูกขุนแผนฆ่าตายไปหลายคน ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนอยู่ในป่าจนนางตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้างจนขุนช้างแพ้คดี เวลาต่อมาขุนแผนก็ถูกจองจำคุก ขุนช้างจึงพาพรรคพวกมาฉุดนางวันทองไปเป็นภรรยาอีกครั้ง ต่อมานางวันทองก็คลอดลูกชาย แล้วตั้งชื่อให้ว่าพลายงาม ขุนช้างก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนก็เกลียดชังพลายงาม วันหนึ่งจึงหลอกพาพลายงามเข้าไปในป่าทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้จึงคิดว่าพลายงามตายแล้วจึงกลับบ้านไปด้วยความดีใจ แต่แท้จริงพลายงามก็ไม่ตายเพราะโหงพรายช่วยไว้และหนีไปอยู่กับนางทองประศรีผู้เป็นย่าที่เมืองกาญจนบุรีและร่ำเรียนวิชาอาคมจนแก่กล้าและไปรับราชการในวัง
เวลาผ่านไปเป็นช่วงที่หลังจากขุนแผนออกจากคุก และพลายงามหรือจมื่นไวยวรนาถได้รับความดีความชอบเป็นอย่างมาก ขุนช้างก็ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของพระไวย แต่กลับเมาสุราบุกเข้าไปชกต่อยกับพระไวย ทำให้สมเด็จพระพันวษาตัดสินให้ประหารชีวิตขุนช้าง แต่นางวันทองได้ขอให้พระไวยไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษาให้ขออภัยโทษขุนช้าง พระไวยก็ทำตามนั่นทำให้ขุนช้างรอดตาย
ความสิ้นสุดบทบาทของขุนช้าง[แก้]
ต่อมาพระไวยต้องการให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงไปลักพานางวันทองมา ขุนช้างเคืองมากไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา จึงมีการไต่สวนคดีกันอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดสมเด็จพระพันวษาก็ถามความสมัครใจของนางว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาหาว่านางเป็นหญิงสองใจจึงสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต แม้พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามการประหารไม่ทัน
หลังงานศพของนางวันทอง ขุนช้างก็อาลัยในตัวนางวันทอง และตัดสินใจออกบวชเป็นเณร* ที่ วัดตะไกร และค้างอยู่ 3 คืน จากนั้นจึงสึกกลับไปเมืองสุพรรณ ดังตัวบทที่กล่าวไว้ว่า
"ขุนช้างนึกมาศรัทธามี วิ่งรี่เข้าไปหาพระหมื่นไวย
บอกว่าดีฉันจะบวชตัว ทูนหัวช่วยบวชเป็นเณรให้
พระไวยบอกว่าข้าจนใจ พึ่งบวชใหม่สวดเรียนก็ไม่รู้
ขุนช้างวางมาจากพระไวย เข้าไปกราบไหว้หลวงตาหนู
ได้เอ็นดูแก่ฉันเถิดท่านครู บวชเณรเถรตู้ให้ฉันที ...
จบแล้วห่มดองครองผ้า รับศีลออกมาหาช้าไม่
นอนค้างอยู่กุฎีที่วัดตะไกร ครบสามคืนสึกไปเมืองสุพรรณ ..."
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน 2555 : 694 - 695)
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2555.
บุคคลิก[แก้]
ขุนช้างเป็นคนหน้าขี้เหร่ หัวก็ล้านมาตั้งแต่กำเนิด รูปร่างก็อ้วน
ในภาพยนตร์เรื่อง ขุนแผน ฟ้าฟื้น ขุนช้างถูกสะเก็ดสายฟ้าของ ดาบฟ้าฟื้น ใส่หัวเลยทำให้ขุนช้างหัวล้าน
อ้างอิง[แก้]
- //www.teenpath.net/content.asp?ID=12180