ใส่อีเมลของคุณเพื่อรับข่าวสาร
ธปท. จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นของท่าน เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารของศูนย์การเรียนรู้ ธปท. อนึ่ง ท่านมีสิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ ธปท. ข้าพเจ้าให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวของข้าพเจ้าตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้
ข้อดี • สร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและลดการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในประเทศเนื่องจากค่าเงินผูกติดกับประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อต่ำ • ช่วยสร้างบรรยากาศของความมั่นคงต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ | ข้อดี • มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน • มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับความผันผวนจากภายนอก เนื่องจากเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาด |
ข้อเสีย • ธนาคารกลางแบกรับภาระในการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ ซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนที่นำไปสู่การเก็งกำไรค่าเงิน • ขาดอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินในประเทศเนื่องจากต้องคำนึงถึงการรักษาอัตราแกลเปลี่ยนเป็นหลัก | ข้อเสีย • ในการดำเนินนโยบายการเงิน จะมีตัวแปรมากขึ้นที่ต้องพิจารณา ในการดูแลระดับราคาในประเทศ เนื่องจากอัตราแกลเปลี่ยนที่อ่อนค่าสามารถส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น • ในกรณีที่เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ ธนาคารกลางอาจขาดความโปร่งใสในการดำเนินงาน |
อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือ Fixed Exchange Rate คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ “คงที่” จากการที่อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกกำหนดตายตัวโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตาม Demand และ Supply ของเงิน
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าประเทศไทยกำหนดไว้ว่า 25 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 25 บาทก็จะเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐไปจนกว่าธนาคารกลางจะประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น ในสกุลเงินของประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือ Fixed Exchange Rate จะไม่มีการแข็งค่า (Appreciation) หรืออ่อนค่า (Depreciation) เหมือนกับประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวนั่นเอง
ข้อดีและข้อเสียของอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่
ข้อดีของ Fixed Exchange Rate หรือ อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ คือ การที่ไม่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน หนึ่งในผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือผู้ส่งออกที่ไม่ต้องเสี่ยงกับค่าเงินที่อาจทำให้ขาดทุนหรือทำให้สินค้าขายได้ยาก
ในทางกลับกันข้อเสียของอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) คือ การที่ในระยะยาวมูลค่าของเงินจะวิ่งหามูลค่าที่มันควรจะเป็น ในที่นี้คือสภาพของประเทศที่เป็นสิ่งค้ำประกันมูลค่าเงินในแต่ละสกุล
เมื่อไหร่ก็ตามที่ต่างชาติมองว่าอัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดเอาไว้ในอัตราที่ไม่สมเหตุสมผล เงินสกุลที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ก็จะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป และเกิดการเทขายเงินสกุลดังกล่าวในที่สุด
และเมื่อเกิดการเทขายอย่างหนักจนถึงระดับที่ธนาคารกลางของประเทศนั้นควบคุมไม่ได้ก็จะทำให้ค่าเงินหลุดจากราคาที่ตรึงเอาไว้และอ่อนค่าอย่างรวดเร็วในที่สุดในลักษณะเดียวกับวิกฤตค่าเงินของหลาย ๆ ประเทศที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
จากข้อดีที่ไม่มีความผันผวนของค่าเงิน ทำให้ธนาคารกลางของประเทศนั้น ๆ ต้องรับภาระในการดูแลค่าเงินด้วยการตรึงค่าเงินให้อยู่ในระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ เมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางไม่สามารถตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ได้จุดจบก็จะไม่ต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งของประเทศไทยเมื่อปี 2540
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้ในปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate) และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่มีการควบคุมแทน
ประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่
ประเทศไทยในอดีต เคยใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องยอมปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
ประเทศจีนในปัจจุบัน ก็ยังคงใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อยู่ โดยประเทศจีนกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินหยวนแบบคงที่ และกำหนด (เพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับสกุลอื่น) โดยธนาคารกลางของจีน
ระบบอัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง ราคาของเงินตราต่างประเทศคิดเทียบต่อราคาของเงินภายในประเทศ เช่น เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เท่ากับ 40 บาท
การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเลือกหน่วยเงินตราของตนเกี่ยวกันกับหน่วยเงินตราของปรเทศอื่น ๆ โดยสามารถให้ระบบเงินตราของตนเป็นอิสระ ทั้งนี้โดยการใช้นโยบายการเงินของตนเพื่อที่จะรักษามูลค่าภายใน (Internal Value)
หรือก็คืออำนาจการซื้อของหน่วยเงินตราของประเทศอื่น ๆ ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดเงินตราต่างประเทศตลอดจนปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวอย่างเสรี หรืออีกประเทศหนึ่งอาจจะกำหนดมูลค่าภายนอก (External Value) ของหน่วยเงินตราของตนมีลักษณะคงที่ (Fixed) เมื่อเทียบค่ากับหน่วยเงินตราของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือเทียบค่ากับหน่วยเงินตราของหลาย ๆ ประเทศในลักษณะคงที่
1. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่1 (Fixed Exchange Rate System) เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ทางการกำหนดให้คงที่ระดับหนึ่ง
โดยไม่เปลี่ยนแลงในช่วงเวลาที่ต้องการ ซึ่งภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จะเกิดจากหน่วยเงินตราแต่ละประเทศอิงกับมาตฐานโลหะที่มีค่า เช่น ระบบมาตรฐานทองคำ (The Gold Standard) รัฐบาลของทุกประเทศจะใช้ทองคำเพียงชนิดเดียวเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และจะกำหนดค่าหน่วยเงินตราของประเทศเทียบกับน้ำหนักทองคำ เช่น เงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอิงน้ำหนักทองคำบริสุทธิ์เท่ากับ 23.22 เกรน ส่วนเงินปอนด์ของอังกฤษหนึ่งปอนด์อิงน้ำหนักทองคำบริสุทธิ์เท่ากับ113.0016 เกรน ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนหนึ่งปอนด์ของอังกฤษเท่ากับ
4.87 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยนภายใต้มาตรฐานทองคำระหว่างประเทศจะมีความเคลื่อนไหวน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในการส่งออกทองคำจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง
2. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเสรี (Freely Exchange Rate System) ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเสรีนั้น อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของเงินตราต่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ทางการเงินไม่ต้องกำหนดค่าเสมอภาค หรือเข้าแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนจึงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา