การเลือกทำ ประกันภัยรถยนต์ สุดรักของคุณ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองครบถ้วนตามความต้องการของคุณทุกอย่าง
ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกในฝันที่เจ้าของรถทุกคนต่างก็อยากได้ ถ้าไม่ติดเรื่องค่าใช้จ่าย ใครๆ ก็อยากใช้ประกันชั้น 1 กันทั้งนั้น แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าค่าใช้จ่ายก็จะต้องสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
MrKumka.com จึงมีข้อมูล ประกันรถยนต์ ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไร สรุปมาให้คุณอ่านกันแบบง่ายๆ เพื่อให้คุณใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อประกันที่เหมาะที่สุดได้
สรุปให้แล้ว ประกันรถยนต์ ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไร
MrKumka.comการพิจารณาเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองน้อยลง อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินให้คุณได้ ซึ่งถ้าหากคุณอยากรู้ว่าประกันรถยนต์ ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไร เรามีคำตอบให้คุณแล้ว
ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 คุ้มครองอะไรบ้าง?
- ● ซ่อมรถหรือทรัพย์สินให้คู่กรณี
- ● จ่ายค่ารักษาพยาบาลของคู่กรณี
- ● ซ่อมรถของคุณในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
- ● จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณ รวมทั้งผู้โดยสารที่นั่งมาในรถคุณด้วย
- ● คุ้มครองกรณีสูญหาย / ไฟไหม้ / น้ำท่วม
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง?
- ● ซ่อมรถหรือทรัพย์สินให้คู่กรณี รวมถึงจ่ายค่ารักษาพยาบาลคู่กรณี ในกรณี “รถชนรถ” เท่านั้น
- ● ซ่อมรถของคุณในกรณีรถชนรถเท่านั้น หากไม่มีคู่กรณีเช่น ถอยรถชนกำแพง, ชนเสา, ขึ้นฟุตบาทประกันชั้น 2+ จะไม่คุ้มครอง
- ● จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณ รวมทั้งผู้โดยสารที่นั่งมาในรถคุณด้วย (เหมือนประกันชั้น 1)
- ● คุ้มครองกรณี สูญหาย / ไฟไหม้ / น้ำท่วม
แล้วประกันรถยนต์ชั้น 1 กับ 2+ แบบไหนถึงเหมาะกับคุณ
หลังจากที่รู้คร่าวๆ แล้วว่าประกันรถยนต์ ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไร แต่ถ้าหากคุณยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกความคุ้มครองแบบไหน เราอยากสรุปให้คุณฟังง่ายๆ ดังนี้
ประกันภัยชั้น 1 ให้ความคุ้มครองมากกว่า เคลมได้ทุกกรณีถึงแม้จะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีก็ตาม ซึ่งค่าเบี้ยเริ่มต้นทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและชนิดของรถคุณด้วย จึงเหมาะกับรถที่เพิ่งถอยมาใหม่หรือรถที่อายุไม่เกิน 5-7 ปี อย่างไรก็ตามค่าเบี้ยประกันชั้น 1 คุณสามารถ “จ่ายน้อยกว่า” ได้ หากเลือกเงื่อนไข “จ่ายค่าเสียหายส่วนแรก” เมื่อเกิดเหตุที่ไม่มีคู่กรณีก็จะสามารถช่วยลดค่าเบี้ยประกันลงได้อีกทางให้กับคุณ
ประกันภัยชั้น 2+ ค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นที่ 5,000 บาท ให้ความคุ้มครองเหมือนประกันชั้น 1 ในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุจากรถชนรถเท่านั้น หากเป็นการขับชนต้นไม้หรือถอยชนกำแพง กรณีแบบนี้จะเคลมไม่ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำประกันชั้น 1 แต่รถอาจจะเกินอายุหรือสภาพไม่ได้ตามที่บริษัทประกันระบุไว้ จึงทำได้แค่ประกันชั้น 2+ นั่นเอง
จากข้อมูลที่ MrKumka.com นำมาฝากกัน คุณคงจะได้รู้แล้วว่าประกันรถยนต์ ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไร หากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท คุณสามารถใช้บริการเว็บไซต์ของเราเพื่อเปรียบเทียบราคาและรายละเอียดความคุ้มครองได้ง่าย ๆ ค้นหาประกันที่ดีที่สุดใน 3 สเต็ปกับ MrKumka.com
ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หมายถึง ประกันภัยที่ทำโดยความสมัครใจของเจ้าของรถ ซึ่งมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ(พ.ร.บ.) เช่น คุ้มครองความเสียหายของรถคันเอาประกัน คุ้มครองผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายในรถ คุ้มครองร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเป็นต้น ซึ่งประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจนั้นมีด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ ประกันชั้น 1, 2+, 3+ และประกันชั้น3
ตารางเปรียบเทียบความคุ้มครอง ประกันภัยรถยนต์
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ทุกคนนิยมที่สุด ถึงแม้จะต้องจ่ายเบี้ยรายปีสูงสุดก็ตาม แต่ด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมสำหรับยานพาหนะของทั้งสองฝ่าย หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด โดยความคุ้มครองคร่าวๆ ดังนี้ ความบาดเจ็บ ความเสียหายต่อตัวรถ การถูกโจรกรรม ความเสียหายจากธรรมชาติเช่นไฟไหม้ น้ำท่วม รวมถึงค่าใช้จ่ายในการลากจูงรถอีกด้วย จะเห็นได้ว่าประกันชั้น 1 มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมในทุกๆ เรื่อง ทำให้เป็นที่นิยมมากที่สุด
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 นั้นคุ้มครอง ชีวิตร่างกาย การบาดเจ็บและทรัพย์สินเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ไม่มีการคุ้มครองสำหรับผู้เอาประกันหากรถเกิดเฉี่ยวชน พลิกคว่ำ เกิดอุบัติเหตุ เมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด รวมถึงให้ความคุ้มครองความสูญหายและเหตุไฟไหม้ของตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย ซึ่งจะเหมาะสำหรับคนที่ขับรถเก่งในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้องจอดรถในที่เปลี่ยวบ่อยๆ
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3
เป็นประเภทประกันที่มีราคาเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดรองจากประกันชั้น 4 โดยให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด โดยมีการคุ้มครองไมเกินวงเงินที่ระบุไว้
ประกันรถยนต์ประเภท 4
ประกันชั้น 4 นั้นมีราคาเบี้ยประกันถูกที่สุด และมีความคุ้มครองที่ไม่มากนัก เหมาะกับผู้ที่ใช้รถระยะใกล้ๆ นานๆ ครั้งจะใช้สักที หรือแทบไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์สักเท่าใหร่ และมีที่จอดรถที่มิดชิด ไม่มีความเสี่ยงในการสูญหาย รวมไปถึงไม่มีความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ด้วย เพราะประกันชั้น 4 ไม่มีความคุ้มครองในส่วนนี้ โดยมีความคุ้มครองในส่วนของทรัพย์สินบุคคลภายนอกเท่านั้น หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของรถของผู้เอาประกันเอง
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 คือการเรียกรวมกันของประกันชั้น 2+ รวมกับประชั้น 3+
โดยจะแบ่งเป็นแต่ละชั้น 2+ และ 3+ จะต่างกันนิดหน่อย ดังนี้
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ (ประเภท 5)
ให้ความคุ้มครองเหมือนประเภท 2 แต่มีส่วนเพิ่มคือการให้ความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย ในวงเงินที่ได้ตามที่ตกลงกันไว้ เช่น 150,000 หรือ 200,000 บาท และมีการคุ้มครองเกี่ยวกับภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วม โดยมีราคาเบี้ยประกันที่สูงขึ้นมาเล็กน้อยจากประเภทที่ 2
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ (ประเภท 5)
ให้ความคุ้มครองเหมือนประเภท 3 แต่มีส่วนเพิ่มคือการให้ความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยและคู่กรณี กรณีชนโดยมีคู่กรณี แต่จะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนของรถยนต์โดนไฟไหม้
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่กล่าวไปข้างต้นนั้น มุ่งเน้นให้ผู้ที่สนใจทำประกันภัยรถยนต์ได้เข้าใจในประกันภัยรถยนต์ในประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเลือกทำประกันให้สอดคล้องกับความต้องการของเจ้าของรถ เพื่อที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงที่มากับการใช้รถได้อย่างเหมาะสม
บทความที่น่าสนใจ
สีรถถูกโฉลกตามวันเกิด | รถโดนทุบกระจกของหายประกันจ่ายไหม ? | ผู้รับผลประโยชน์ประกันรถยนต์คือใคร ? |
ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หมายถึง ประกันภัยที่ทำโดยความสมัครใจของเจ้าของรถ ซึ่งมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ(พ.ร.บ.) เช่น คุ้มครองความเสียหายของรถคันเอาประกัน คุ้มครองผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายในรถ คุ้มครองร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเป็นต้น ซึ่งประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจนั้นมีด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ ประกันชั้น 1, 2+, 3+ และประกันชั้น3
ตารางเปรียบเทียบความคุ้มครอง
ประกันภัยรถยนต์
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ทุกคนนิยมที่สุด ถึงแม้จะต้องจ่ายเบี้ยรายปีสูงสุดก็ตาม แต่ด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมสำหรับยานพาหนะของทั้งสองฝ่าย หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด โดยความคุ้มครองคร่าวๆ ดังนี้ ความบาดเจ็บ ความเสียหายต่อตัวรถ การถูกโจรกรรม ความเสียหายจากธรรมชาติเช่นไฟไหม้ น้ำท่วม รวมถึงค่าใช้จ่ายในการลากจูงรถอีกด้วย จะเห็นได้ว่าประกันชั้น 1 มีความคุ้มครองที่ครอบคลุมในทุกๆ เรื่อง ทำให้เป็นที่นิยมมากที่สุด
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 นั้นคุ้มครอง ชีวิตร่างกาย การบาดเจ็บและทรัพย์สินเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ไม่มีการคุ้มครองสำหรับผู้เอาประกันหากรถเกิดเฉี่ยวชน พลิกคว่ำ เกิดอุบัติเหตุ เมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด รวมถึงให้ความคุ้มครองความสูญหายและเหตุไฟไหม้ของตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย ซึ่งจะเหมาะสำหรับคนที่ขับรถเก่งในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้องจอดรถในที่เปลี่ยวบ่อยๆ
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3
เป็นประเภทประกันที่มีราคาเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดรองจากประกันชั้น 4 โดยให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด โดยมีการคุ้มครองไมเกินวงเงินที่ระบุไว้
ประกันรถยนต์ประเภท 4
ประกันชั้น 4 นั้นมีราคาเบี้ยประกันถูกที่สุด และมีความคุ้มครองที่ไม่มากนัก เหมาะกับผู้ที่ใช้รถระยะใกล้ๆ นานๆ ครั้งจะใช้สักที หรือแทบไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์สักเท่าใหร่ และมีที่จอดรถที่มิดชิด ไม่มีความเสี่ยงในการสูญหาย รวมไปถึงไม่มีความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ด้วย เพราะประกันชั้น 4 ไม่มีความคุ้มครองในส่วนนี้ โดยมีความคุ้มครองในส่วนของทรัพย์สินบุคคลภายนอกเท่านั้น หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของรถของผู้เอาประกันเอง
ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 คือการเรียกรวมกันของประกันชั้น 2+ รวมกับประชั้น 3+
โดยจะแบ่งเป็นแต่ละชั้น 2+ และ 3+ จะต่างกันนิดหน่อย ดังนี้
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ (ประเภท 5)
ให้ความคุ้มครองเหมือนประเภท 2 แต่มีส่วนเพิ่มคือการให้ความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย ในวงเงินที่ได้ตามที่ตกลงกันไว้ เช่น 150,000 หรือ 200,000 บาท และมีการคุ้มครองเกี่ยวกับภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วม โดยมีราคาเบี้ยประกันที่สูงขึ้นมาเล็กน้อยจากประเภทที่ 2
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ (ประเภท 5)
ให้ความคุ้มครองเหมือนประเภท 3 แต่มีส่วนเพิ่มคือการให้ความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยและคู่กรณี กรณีชนโดยมีคู่กรณี แต่จะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนของรถยนต์โดนไฟไหม้
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่กล่าวไปข้างต้นนั้น มุ่งเน้นให้ผู้ที่สนใจทำประกันภัยรถยนต์ได้เข้าใจในประกันภัยรถยนต์ในประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเลือกทำประกันให้สอดคล้องกับความต้องการของเจ้าของรถ เพื่อที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงที่มากับการใช้รถได้อย่างเหมาะสม
บทความที่น่าสนใจ
สีรถถูกโฉลกตามวันเกิด | รถโดนทุบกระจกของหายประกันจ่ายไหม ? | ผู้รับผลประโยชน์ประกันรถยนต์คือใคร ? |