กลุ่มสังคมในสถาบันการเมืองการปกครอง ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ กลุ่มสังคมที่มีการจัดระเบียบอย่างชัดแจ้ง ที่เรียกว่า องค์การ เช่น พรรคการเมือง กระทรวง ทบวง กรม เป็นต้น แต่ละองค์การประกอบด้วยตำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคม เพื่อกระทำบทบาทและหน้าที่ตามสถานภาพนั้น
-องค์กรของสถาบันการเมืองที่สำคัญ มีดังนี้
1. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ องค์กรที่ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
2. ฝ่ายบริหาร คือ องค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารและการบริการให้แก่สมาชิกโดยส่วนรวม
3. ฝ่ายตุลาการ คือ องค์การที่ทำหน้าที่ตีความกฎหมายในกรณีที่สมาชิกในสังคมเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
4. ฝ่ายองค์กรอิสระ คือ องค์กรที่ประกอบด้วยคณะบุคคลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีปลอดจากอำนาจอิทธิพลของบุคคลที่มีส่วนอาจได้เสียกับกิจการอันเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระนั้น โดยเฉพาะอำนาจของข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ
1. สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจย่อมจะต้องมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเงิน
2. วินิจฉัยข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในสังคม มีองค์การทางตุลาการคอยให้ความยุติธรรมแก่สมาชิกที่มีความขัดแย้งต่อกัน
ความหมายของสถาบันการปกครอง
สถาบันการปกครอง หมายถึง ตำแหน่งหรือองคืการวึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลประเทศ โดยได้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอน และได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป
องค์ประกอบสถาบันการปกครอง
1.องค์ประกอบของสถาบันการปกครองโดยทั่วไป ได้แก่
1.1 ประมุขของประเทศ
1.2 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล
1.3 ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา
1.4 ฝ่ายตุลาการหรือศาล
2.อำนาจหน้าที่ของสถาบันต่างๆจะมีมากน้อยเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองของประเทศนั้น
การปกครองของไทยในปัจจุบัน
ภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 แล้ว ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
สถาบันการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน ประกอบด้วยสถาบันและองค์กรต่างๆดังต่อไปนี้
สถาบันพระมหากษัตริย์
1.ทรงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ
2.ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
สถาบันรัฐสภา
1.รัฐสภา หมายถึง ที่ประชุมของผู้แทนประชาชานทั้งประเทศ เพื่อทำหน้าทีแทนประชาชนในการตราพระราชบัญญัติต่างๆ
2.รูปแบบของรัฐสภา มี 2 แบบ คือ
2.1 แบบสภาเดียว
2.2 แบบ 2 สภา ได้แก่
ก. สภาผู้แทนราษฎร์
ข.วุฒิสภา
3.ที่มาของสมาชิกรับสภา
3.1 มาจากการเลือกตั้ง เช่น ในกรณีของสมาชิกผู้แทนราษฎร์
3.2 มาจากการแต่งตั้ง เช่น ในกรณีของสมาชิกวุฒิสภา โดยพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์เห็นสมควรให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา
4.อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ได้แก่
4.1 เสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี
4.2 ตราพระราชบัญญัติ
4.3 ควบคุมรัฐบาลให้บริหารประเทศตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา
4.4 อำนาจหน้าที่อื่นๆ เช่น
ก.การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ข.การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
สถาบันรัฐบาล
1.รัฐบาล หมายถึง คณะบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศเรียกว่า “คณะรัฐมนตรี”
2.หน้าที่ของรัฐบาล คือ
2.1 กำหนดนโยบายในการบริหารราชกาลแผ่นดิน
2.2 นำนโยบายและพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาไปบังคับให้เกิดผล
3.องค์ประกอบของรัฐบาล ได้แก่ คณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ ดังนี้
3.1 นายกรัฐมนตรี
3.2 รองนายกรัฐมนตรี
3.3 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3.4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
3.5 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
3.6 รัฐมนตรีว่าการทบวง
4.ที่มาของรัฐบาล รัฐบาลมีที่มา 2 ทาง คือ
4.1 มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
4.2 มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร
5.อำนาจหน้าที่ของรัฐบาล
5.1 รักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติ
5.2 รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
5.3 พัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความเจริญก้าวหน้า
5.4 ให้บริหารด้านการศึกษา การแพทย์ การสาธารณสุข ฯลฯ
5.5 จัดเก็บภาษีอากรเพื่อนำมาใช้ในการบริหารประเทศ
6.ตุลาการ
คือผู้มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาอรรถคดี ตำแหน่งของตุลาการเรียกว่า “ผู้พิพากษา” ตุลาการกับผู้พิพากษาของไทยในสมัยโบราณนั้นมีอำนาจหน้าที่คนละอย่างกัน ปัจจุบัน ในศาลยุติธรรมนั้น ตุลาการเป็นชื่อข้าราชการประเภทหนึ่ง เรียกว่า “ข้าราชการตุลาการ“ ส่วนผู้พิพากษาเป็นตำแหน่งของข้าราชการตุลาการ แต่ในศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญนั้น คำว่า ตุลาการ ใช้เรียกเป็นชื่อข้าราชการและเป็นตำแหน่งด้วย สำหรับศาลยุติธรรมนั้น คำว่า ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม