แอปพลิเคชันใดที่ใช้ในการพิมพ์เอกสาร

Office สำหรับธุรกิจ Office 365 Business Essentials ผู้ดูแลระบบ Microsoft 365 เพิ่มเติม...น้อยลง

เปิดใช้แอปโดยตรงในเบราว์เซอร์ของคุณ

Microsoft Edge มีตัวเปิดใช้แอป Microsoft 365 ในตัวที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากหน้าแท็บใหม่ของคุณ

ลองทันที

ตัวเปิดใช้แอป Microsoft 365 เป็นเมนูของแอปและบริการที่คุณมีสิทธิใช้งาน และจะเปิดเมื่อคุณเลือกไอคอน ตัวเปิดใช้แอป

บน Office.com ตัวเปิดใช้แอปช่วยให้การเปิดและสลับไปมาระหว่างแอปของคุณง่ายดายขึ้นด้วยการเน้นแอปที่คุณใช้เมื่อเร็วๆ นี้ และมอบการเข้าถึงด่วนไปยังเอกสาร Office แบบออนไลน์ล่าสุดของคุณ

คำอธิบายต่อไปนี้จะทำให้คุณเข้าใจลักษณะของตัวเปิดใช้แอปมากขึ้น:

ฉันจะใช้ตัวเปิดใช้แอปได้อย่างไร

จากตัวเปิดใช้แอป Microsoft 365 ให้เลือกไทล์เพื่อไปยังแอปหรือบริการนั้น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเลือก Outlook เพื่อไปยังอีเมลของคุณ หรือ OneDrive เพื่อไปยังไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ

คุณสามารถเปิดเอกสาร Office ต่างๆ ที่ทำอยู่ล่าสุดได้อย่างรวดเร็ว หรือสร้างเอกสารใหม่ได้โดยคลิกปุ่มสร้างแล้วเลือกแอป Office เอกสารเหล่านี้จะจัดเก็บไว้ใน OneDrive โดยอัตโนมัติ

เมื่อคุณดูตัวเปิดใช้แอปเป็นครั้งแรก คุณจะเห็นแอป Office หลัก พร้อมทั้งแอปที่องค์กรของคุณเพิ่มให้ด้านบนสุด คุณสามารถถอนหมุดแอปเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายหากไม่ใช้ เพียงเลือกจุดไข่ปลาที่ด้านขวาของชื่อแอป (…) แล้วเลือกถอนหมุด เมื่อคุณเริ่มใช้แอป แอปที่คุณใช้ล่าสุดจะปักหมุดไปยังตัวเปิดใช้แอปโดยอัตโนมัติ

หากต้องการดูรายการแอปทั้งหมดที่พร้อมให้คุณใช้งานตามลำดับตัวอักษร ให้เลือกแอปทั้งหมด

หมายเหตุ: 

  • แอปบางอย่างอาจไม่ปรากฏใน ตัวเปิดใช้แอป ของคุณ จนกว่าฟีเจอร์เหล่านั้นจะถูกเปิดการใช้งาน (ซึ่งโดยทั่วไปจะทำโดยผู้ดูแลระบบ Microsoft 365) ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ดูแลระบบ Microsoft 365 ของคุณไม่ได้เปิดใช้งานบริการ SharePoint Online คุณจะไม่เห็น Delve ใน ตัวเปิดใช้แอป ของคุณ

  • คุณอาจเห็นไทล์ต่อไปนี้บางรายการหรือไทล์อื่นๆ ใน ตัวเปิดใช้แอป ของคุณ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รวมอยู่ในการสมัครใช้งาน ไม่แน่ใจว่ามีอะไรรวมไว้ใช่หรือไม่ ดูที่ฉันมีผลิตภัณฑ์หรือสิทธิการใช้งานใดของ Microsoft 365 Business บ้าง

  • เราขอแนะนำให้ใช้ Microsoft Edge บน สำหรับ Windows 10 ให้ทำดังนี้ และถ้าคุณไม่มี สำหรับ Windows 10 ให้ทำดังนี้ ให้ลองใช้ Google Chrome หรือ Mozilla Firefox เวอร์ชันล่าสุด

ไทล์

หน้าที่

Outlook

จะนำคุณไปที่จดหมายและปฏิทินใน Outlook บนเว็บของคุณ

OneDrive

จะนำคุณไปยังไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ (ดู OneDrive for Business คืออะไร)

Word หรือ Word สำหรับเว็บ

สร้างเอกสาร Word ใหม่ในหน้าต่างเบราว์เซอร์ (Word สำหรับเว็บ) ซึ่งจะบันทึกโดยอัตโนมัติไปยังไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ (ดู มีอะไรใหม่ใน Word)

Excel หรือ Excel สำหรับเว็บ

สร้างเวิร์กบุ๊ก Excel ใหม่ในหน้าต่างเบราว์เซอร์ (Excel สำหรับเว็บ) ซึ่งจะถูกบันทึกโดยอัตโนมัติในไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ (ดูวิดีโอ มีอะไรใหม่บ้างใน Excel Online)

PowerPoint หรือ PowerPoint สำหรับเว็บ

สร้างงานนำเสนอ PowerPoint ใหม่ในหน้าต่างเบราว์เซอร์ (PowerPoint สำหรับเว็บ) ซึ่งจะบันทึกโดยอัตโนมัติในไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ (ดู งานพื้นฐานใน PowerPoint สำหรับเว็บ)

OneNote หรือ OneNote บนเว็บ

เปิดสมุดบันทึก OneNote ของคุณในหน้าต่างเบราว์เซอร์ (OneNote บนเว็บ) ซึ่งจะบันทึกโดยอัตโนมัติในไลบรารี OneDrive สำหรับที่ทำงานหรือโรงเรียน ของคุณ (ดู งานพื้นฐานใน OneNote สำหรับเว็บ)

SharePoint

เปิด SharePoint ที่คุณสามารถแชร์งาน ทำงานร่วมกับผู้อื่น จัดการโครงการและทีมของคุณ และค้นหาบุคคลและข้อมูล (ดู เริ่มต้นใช้งาน SharePoint)

Teams

เปิด Teams ที่เป็นพื้นที่ทำงานการสนทนาเปิดขึ้น (ดูเริ่มต้น Microsoft Teams ด่วน)

Yammer

จะนำคุณไปที่ Yammer ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมขององค์กรของคุณ (ดู ทำความรู้จักกับ Yammer)

ผู้ดูแลระบบ
(สำหรับผู้ดูแลระบบ Microsoft 365 เท่านั้น)

จะนำคุณไปยังศูนย์การจัดการของคุณ (ดูบทความนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม)

ดูเพิ่มเติม

ปรับแต่งประสบการณ์การใช้งาน Microsoft 365 ของคุณ

ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่

สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงรุนแรงอยู่ในหลายประเทศ ทำให้แนวคิดการทำงานจากบ้าน กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติตามมาตรการ “ระยะห่างทางสังคม” (Social Distancing) ที่อาจช่วยชะลออัตราการระบาดให้ช้าลง

จากข้อมูลของเว็บไซต์ buffer.com บริษัทผู้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับการจัดการสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า แม้ว่าเราจะมีเสรีภาพในการทำงานได้จากที่ใดก็ได้ แต่คนกลุ่มนี้ราวร้อยละ 84 นิยมทำงานจากที่บ้านมากที่สุด รองลงมาคือ โคเวิร์คกิ้ง สเปซ (8%) และ คาเฟ่หรือร้านกาแฟ (4%)

แม้การทำงานจากบ้านอาจทำให้เรารู้สึกสะดวกและสบายมากกว่า และทำให้เราสามารถบรรลุความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากกว่า รวมถึงยังอาจช่วยกระตุ้นผลิตผลในการทำงานได้ด้วย

ผลการศึกษาของ buffer.com ยังระบุว่า ผู้ที่ทำงานจากบ้านอาจต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ได้เช่น การละทิ้งทุกอย่างหลังจากเสร็จงาน, ความเหงา, สิ่งต่างๆ ที่อาจทำให้เสียสมาธิ และปัญหาการประสานงานและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวอาจสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เครื่องทุ่นแรง อย่างแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ โดย ventureharbour.com ได้นำเสนอแอปที่อาจช่วยให้เราสามารถทำงานจากบ้านได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดได้

1. Serene (เฉพาะอุปกรณ์ Mac)

แอปฟรีที่มีให้บริการเฉพาะในคอมพิวเตอร์แมคนี้ ถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยตัดสิ่งที่อาจรบกวนสมาธิในการทำงานออกไปได้ ทำให้เราสามารถจดจ่ออยู่กับงาน และทำงานเสร็จเร็วยิ่งขึ้น

Serene อาศัยหลักการในการทำงาน 2 อย่าง ที่ได้รับการรับรองจากผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ อย่างแรกคือ มันช่วยกระตุ้นเราให้สร้างเป้าหมายการทำงานเพียงอย่างเดียวในแต่ละวัน ที่อาจแยกเป็นงานหลายกลุ่มหรือประเภท ตราบเท่าที่มันคืองานที่เราต้องการบรรลุในวันนั้น งานแต่ละประเภทหรือกลุ่มอาจใช้เวลาประมาณ 20-60 นาที ซึ่งจะมีการนับเวลาถอยหลังว่าเรายังเวลาเหลืออีกเท่าใดในการทำงานให้เสร็จ และการพักเบรกเป็นระยะ ทำให้ผู้ใช้จดจ่ออยู่กับการบรรลุผลสำเร็จของงานได้อย่างสูงสุดตลอดทั้งวัน โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาที่ระบุว่า การทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน จะลดผลิตผลในการทำงานลงอย่างรวดเร็ว ส่วนงานวิจัยอื่นๆ ชี้ว่า สิ่งที่ทำให้เสียสมาธิหรือการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ยังอาจสามารถทำลายสมองของเราได้

สองคือ มันช่วยปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์หรือแอปที่อาจทำให้เสียสมาธิ ด้วยการปิดการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ ในระหว่างที่เราทำงาน โดยผลการศึกษาชี้ว่า หากเสียสมาธิเพียงครั้งเดียว เราอาจต้องใช้เวลาถึง 23 นาที 15 วินาที ในการกลับมาโฟกัสกับงานอีกครั้ง

2. Slack (มีให้บริการในทุกระบบทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ)

Slack คือแพลตฟอร์ในการส่งข้อความที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานเป็นทีม และถือเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อผู้ที่ต้องทำงานนอกออฟฟิศ ระบบส่งข้อความจะถูกแบ่งออกเป็นชาแนลต่างๆ ซึ่งสมาชิกของทีมงานสามารถเข้าและออกได้ ดังนั้น จึงไม่มีใครที่จะได้รับข้อความหรือการแจ้งเตือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง สมาชิกของกลุ่มยังสามารถพูดคุยนอกหัวข้อหลัก ในกระทู้ที่แยกออกไป ซึ่งทำให้ข้อความดังกล่าวไม่สามารถเข้าไปรบกวนการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องหลักที่มีความสำคัญได้

ทั้งนี้ Slack มีทั้งแบบให้บริการฟรีที่ผู้ใช้สามารถสร้างเวิร์คสเปซสำหรับทีมขนาดเล็ก และแบบจ่ายเงินรายเดือน ในราคา 5.25 ปอนด์ หรือราว 210 บาทต่อเดือนต่อยูสเซอร์ ซึ่งจะทำให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าไปทำงานในเวิร์คสเปซดังกล่าวได้

ขณะที่ประโยชน์ที่แท้จริงของแอปนี้คือ พนักงานที่ทำงานจากบ้านที่จำเป็นต้องทำงานประสานกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปสำหรับผู้ที่ทำงานจากบ้าน

3.  Zoom (มีให้บริการในทุกระบบทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ)

Zoom ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อย่างเต็มรูปแบบ และเป็นเครื่องมือเพื่อการสื่อสารสำหรับธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่มีชื่อว่า Zoom Meetings & Chat ซึ่งมีทั้งบริการวิดีโอและการโทรด้วยเสียง

Zoom ช่วยทำให้การประชุมผ่านวิดีโอและการโทรด้วยเสียงสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยในแบบให้บริการฟรี สามารถรองรับการทำงานของทีมขนาดเล็กได้ ขณะที่แบบเสียเงินรายเดือน จะต้องมีผู้ที่อยู่ในฐานะ “โฮสต์” ทำหน้าที่จ่ายค่าบริการรายเดือนที่ 14.99  ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 480 บาทต่อโฮสต์ ซึ่งโฮสต์จะมีหน้าที่ในการเชิญสมาชิกเข้าร่วมในการประชุม ซึ่งอาจมีจำนวนสูงสุดถึง 100 คน แต่หากการประชุมยืดเยื้อนานกว่า 40 นาที โฮสต์อาจต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชั่นแบบจ่ายเงิน

4. Chrome Remote Desktop (iOS, แอนดรอยด์, ระบบเสริมที่ติดตั้งใน Google Chrome)

Chrome Remote Desktop ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้อย่างปลอดภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ไม่ว่าจากที่ใดก็ตาม และเวลาใดก็ตาม โดยไม่ต้องกังวลถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

เราสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของเราด้วยการพิมพ์ URL ลงในเว็บเบราเซอร์ หรือโหลดแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ ทั้งระบบ iOS และแอนดรอยด์

นอกจากนั้นยังมีระบบเสริมที่ติดตั้งใน Google Chrome ที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในสำนักงานหรือบ้านได้อย่างรวดเร็ว จากอุปกรณ์พกพาต่างๆ

อีกหนึ่งฟังค์ชั่นหลักของ Chrome Remote Desktop คือ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเราเข้ากับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งหมายความว่าเราสามารถให้ผู้อื่นเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของเราได้ และรับการช่วยเหลือแบบทางไกล โดยเพื่อร่วมงานสามารถมองเห็นจอของเรา และควบคุมคอมพิวเตอร์ของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดปัญหาการขัดข้องทางเทคนิค

เรายังสามารถใช้ฟีเจอร์นี้เพื่อการคัดลอกหน้าจอ ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นหน้าจอเดียวกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างคล่องตัว

5. Toggl (วินโดวส์, แมค, iOS, แอนดรอยด์, Chrome, Firefox)

Toggl จะช่วยแสดงเวลาที่เราใช้ไปในระหว่างการทำงาน โดยซอฟท์แวร์ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ที่ทำงานทางไกลแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยแนวคิดในการช่วยเหลือบรรดาฟรีแลนซ์ในการคำนวณเวลาทำงานในโปรเจ็คต์หนึ่งๆ เพื่อรับเงินตามระยะเวลาที่ใช้ไปทั้งหมดในการทำงาน

หากเราเป็นฟรีแลนซ์ Toggl ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะข้อมูลที่ได้จะช่วยทำให้เราสามารถกำหนดเวลาในการทำงานโปรเจ็คต์ต่อไปได้อย่างแม่นยำ

หรือหากเราเป็นพนักงานประจำที่ต้องทำงานจากบ้าน Toggl ก็สามารถช่วยเพิ่มผลิตผลในการทำงานได้ ด้วยการปักหมุกงานที่อาจต้องใช้เวลาในการทำมากกว่าปกติ นอกจากนั้นยังช่วยในการปรับปรุงการวางแผนโปรเจ็คต์ต่างๆ ด้วยการคำนวณเวลาว่างานแต่ละอย่างต้องใช้เวลาในการทำนานเท่าใด เรายังใช้แอปนี้ในการบันทึกเวลาว่า ปัญหาด้านผลิตภาพ ทำให้เราสูญเสียไปเท่าใด

6. Spark (แมค, iOS, แอนดรอยด์)

อีเมลถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านผลิตภาพ Spark จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยในการจัดเก็บและจัดประเภทอีเมลจากทุกๆ แอคเคาต์โดยอัตโนมัติ มันยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดลำดับความสำคัญของอีเมลที่มีความสำคัญที่สุด และจะกรองเอาอีเมลที่ไม่สำคัญออก หรือให้แจ้งเตือนในภายหลัง

Spark ยังเต็มไปด้วยเครื่องมือสำหรับการทำงานอีกมากมาย ที่ช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถทำงานในอีเมลเดียวกันได้จากทางไกลในแบบเรียลไทม์ ซึ่งหมายความว่า ทุกคนที่ต้องการให้ข้อมูลในอีเมล สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยมีความแม่นยำถึง 100%

สำหรับผู้ที่ทำงานจากบ้านคนเดียวหรือทีมขนาดเล็ก การใช้เวอร์ชั่นฟรีก็อาจเพียงพอ ขณะที่เวอร์ชั่นแบบรายเดือน ซึ่งเริ่มต้นที่ 6.39 ดอลลาร์ต่อยูสเซอร์ จะมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น

7. Google Drive (วินโดวส์, แมค, iOS, แอนดรอยด์, เว็บ)

Google Drive ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องทำงานทางไกล เนื่องจากฟีเจอร์ต่างๆ ทำงานได้ดีกว่าไดรฟ์ในลักษณะเดียวกันของ Microsoft Drive และสามารถทำงานได้ดีแม้จะใช้ในคอมพิวเตอร์แมค และข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ ผู้ใช้จำเป็นต้องออนไลน์ในขณะที่ค้องใช้ Google Drive และ Google Docs

Google Drive ยังช่วยให้ผู้ใช้และเพื่อนร่วมงานสามารถทำงานในเอกสารหรือโปรแกรมการคำนวณแบบสเปรดชีทเดียวกันได้ในแบบเรียลไทม์ โดยพบว่าไม่เกิดความล่าช้าและสมาชิกทุกคนสามารถมองเห็นขณะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งยังสามารถแสดงความเห็นในเอกสารแต่ละชิ้นได้

สำหรับผู้ใช้แบบเดี่ยว เวอร์ชันในแบบฟรีก็สามารถรองรับการทำงานได้อย่างเพียงพอ หากเราต้องการความจุที่เพิ่มขึ้นจากค่าตั้งต้นที่ 15 กิกะไบต์ เราสามารถอัปเกรดแผนการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อใช้บริการ G Suite หรือบริการที่คล้ายกับ Google Drive เพื่อให้บริการทางด้านการบริหารจัดการภายในของธุรกิจต่างๆ

8. Calendar (iOS, แอนดรอยด์, เว็บแอพพลิเคชั่น)

แม้ Google Calendar จะเป็นปฏิทินดิจิทัลที่ทำงานได้อย่างเยี่ยมยอด แต่มันกลับไม่มีฟีเจอร์บางตัวที่จำเป็นต่อการทำงานในแบบทางไกล แต่ Calendar สามารถเชื่อมต่อทุกปฏิทินของเราให้รวมอยู่ในอินเตอร์เฟซเดียว

นอกเหนือจากการผนวกแอปปฏิทินทั้งหมดของเราเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Calendar ยังช่วยจัดการการประชุมได้ด้วย เพราะแทนที่จะจะจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอหรือการประชุมที่มาพร้อมกับอีเมลจำนวนมาก มันช่วยให้ทุกคนสามารถเลือกจองเวลาในการประชุมในช่วงเวลาที่สะดวก โดยที่จะไม่ไปรบกวนการประชุมหรือภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องทำอยู่แล้ว

9. Zapier (วินโดวส์, แมค, iOS, แอนดรอยด์, เว็บ)

Zapier เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราประหยัดเวลาในการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน เพราะแทนที่ผู้ใช้ต้องต้องคอยสลับแอปเพื่อทำงานประเภทต่างๆ เราสามารถใช้ Zapier ในการทำหน้าที่เหล่านั้นได้ ด้วยการเชื่อมต่อแอปที่เราใช้งานประจำ เพื่อให้สามารถแชร์ข้อมูลร่วมกันได้

โดย Zapier จะส่งข้อมูลระหว่างแอป เช่น จีเมล และกูเกิลไดรฟ์ ดังนั้น การแนบไฟล์ในอีเมลจะถูกอัปโหลดโดยอัตโนมัติ ผ่านการเข้าถึงในแบบทางไกล ทั้งนี้ ระบบควบคุมอัตโนมัติคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มผลิตภาพให้สูงสุด ซึ่ง Zapier อาจทำให้เราสามารถทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนนี้ได้อย่างง่ายดาย

10. Daywise (แอนดรอยด์)

ปัญหาหลักที่ผู้ทำงานจากบ้านระบุในผลการศึกษาของ buffer.com คือการปิดการทำงานต่างๆ หลังจากเสร็จงานแล้ว สำหรับบางคนคือการปิดทุกแอปที่เกี่ยวข้องในการทำงาน โดย Daywise สามารถช่วยในการจัดตารางการทำงานของแต่ละแอปได้อย่างอัตโนมัติ

เช่นเราสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือนหลัง 18.00 น. จนกระทั่งกลับมาทำงานอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ซึ่งช่ยทำให้เราไม่ต้องรับการแจ้งเตือนใดๆ ที่อาจลดผลิตภาพในการทำงาน และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

Daywise ทำให้เราสามารถควบคุมระบบการแจ้งเตือนของโทรศัพท์ได้ และช่วยป้องกันไม่ให้มันรบกวนในระหว่างที่เราทำงาน ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้งานเข้าไปรบกวนการใช้ชีวิตส่วนตัว แต่ข้อเสียของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ มีให้บริการเฉพาะในโทรศัพท์แอนดรอยด์เท่านั้น

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้