สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอด
ภูมิปัญญาไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ที่สืบทอดมาจากอดีต เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย คนรุ่นปัจจุบันควรภาคภูมิใจในความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย พร้อมทั้งช่วยกันสืบทอดวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติต่อไป
ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้
ตัวชี้วัด
ส 4.3 ป.6/1 อธิบายพัฒนาการและภูมิปัญญาของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ โดยสังเขป
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้
2.
สืบทอดภูมิปัญญาไทยสมัยรัตนโกสินทร์จากอดีตมาสู่ปัจจุบันได้
3. ปฎิบัติตนตามหลักภูมิปัญญาท้องถิ่นได้
สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอด
วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดมาจากอดีตเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย คนรุ่นปัจจุบันควรภาคภูมิใจในความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย พร้อมทั้งช่วยกันสืบทอดวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติต่อไป
ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้
ตัวชี้วัด
ส 4.3 ป.6/4 อธิบายภูมิปัญญาไทยที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ที่น่าภาคภูมิใจและควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้
2. บอกวิธีการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยสมัยรัตนโกสินทร์ได้
3. ปฎิบัติตนตามหลักภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทยได้
ภูมิปัญญา คือ ความรู้ ความคิดจากการปฏิบัติของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายและบรรพบุรุษที่ใช้แก้ปัญหา เพื่อให้มีชีวิตรอดและดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข
ภูมิปัญญาไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
- สิ่งที่จับต้องได้ เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มีด เรือ เกวียน
- สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความมีน้ำใจ ความกตัญญูกตเวที ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
วิดีโอ YouTube
ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย (Thai Wisdom) หมายถึง ความรู้ความสามารถ และทักษะของคนไทยที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรับปรุง พัฒนา
และถ่ายทอดมาเป็นอย่างดี เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย
ตัวอย่างภูมิปัญญาไทยที่มีอิทธิพลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย
ภูมิปัญญาไทย คือ ความรู้ความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำรงชีวิตในสังคมไทย ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมีมากมายหลายด้าน
ภูมิปัญญาบางด้านสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในด้านต่างๆหลายด้าน
ได้แก่ ด้านการเมืองการปกครอง ด้านคติความเชื่อ ด้านการดำเนินชีวิต ด้านศิลปวัฒนธรรม
2.3.1 ด้านการเมืองการปกครอง
ภูมิปัญญาไทยในด้านการเมืองการปกครองมีหลายประการ เช่น
1.ฐานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
ในสังคมต่างๆ จะต้องมีระบบกฎเกณฑ์บังคับให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตาม เพื่อให้สมาชิกทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข
พระมหากษัตริย์ไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดและอยู่สูงสุดของสังคม เป็นจักรกลของความเคลื่อนไหวของสังคม โดยมีบทบาทสำคัญ คือ ความรับผิดชอบทั้งต่อการเมืองและสังคม
2.3.2 ด้านคติความเชื่อ
ในแต่ละสังคมย่อมมีการสร้างระเบียบแบบแผน ในสังคมไทยภูมิปัญญาด้านความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมีอยู่
2 ความเชื่อ คือ คติความเชื่อในพระพุทธศาสนาและคติความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ
1. คติความเชื่อในพระพุทธศาสนา
คติความเชื่อในพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการปฏิบัติของสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน
พระพุทธศาสนาทำให้คนไทยมีกรอบความคิดและโลกทัศน์เป็นไปตามคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา
-ด้านโลกทัศน์ คนไทยมองธรรมชาติตาหลักพระพุทธศาสนา คือ
สรรพสิ่งมีเกิด มีดับ มีความเสื่อม และมีความเจริญตามลำดับ
-ด้านการเมืองการปกครอง
คำสอนในด้านการปกครองของพระพุทธศาสนาได้กลายมาเป็นหลักในการปกครองประเทศของพระมหากษัตริย์ โดยหลักคำสอนทั้งทศพิธราชธรรม 10 และจักรวรรดิวัตร 12
-ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี
พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานสำคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยเกือบทุกด้าน ทั้งจารีตประเพณีซึ่งเป็นเรื่องของศีลธรรม
- ด้านการศึกษา
ในช่วงเวลาก่อนหน้าการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 สถาบันที่มีบทบาทในด้านการศึกษาสังคมไทยคือสถาบันพระพุทธศาสนา โดยเป็นแหล่งในการถ่ายทอดความรู้ทางด้านการศาสนาและศิลปวิทยาต่างๆ
- ด้านภาษาและวรรณคดี
พระพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย ในด้านภาษา ได้แก่ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาที่นิยมใช้ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและพระพุทธศาสนานิกายมหายาน
-ด้านสังคม
วัดในพระพุทธศาสนาดำรงฐานะเป็นศูนย์กลางของชุมชน โดยดำรงฐานะสำคัญสำหรับชุมชนในหลายด้าน
-คติความเชื่อในพระพุทธศาสนา
เป็นภูมิปัญญาสำคัญที่สุดของสังคมไทย เนื่องจากเป็นรากฐานทางภูมิปัญญาที่ให้กำเนิดภูมิปัญญาด้านอื่นๆในสังคมไทย
2. คติความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ คติความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณเป็นคติความเชื่อสำคัญที่ใช้อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ
ที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ คนไทยนับถือผีตั้งแต่ก่อนนับถือพระพุทธศาสนา ผีสามารถแบ่งได้เป็นผีฟ้าอยู่บนสวรรค์ เป็นที่นับถือในหมู่ชาวไทยบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง ผีเมืองเป็นผีที่ปกปักรักษาเมือง เป็นที่นับถือของคนไทยทุกภูมิภาค ผีบรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆ
ผีบ้านเป็นบรรพบุรุษของหมู่บ้าน และผีเรือนเป็นผีที่สิงอยู่ในบ้านเรือน นอกจากนี้ยังมีผีชนิดอื่นๆอีก
2.3.3 ด้านการดำเนินชีวิต
ภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตของคนไทยเกิดขึ้นจากการปรับตัวในการตั้งถิ่นฐานในสภาพแวดล้อมต่างๆ
และการแก้ปัญหาที่เกิดจากการดำรงชีวิตประจำวัน
1. การสร้างบ้านแปลงเมือง
การตั้งชุมชนเป็นปรากฏการณ์ในด้านพัฒนาการทางสังคมของคนไทย ซึ่งคนไทยเลือกตั้งถิ่นฐานบริเวณที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น
2. ระบบการจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
ระบบการจัดการน้ำเป็นภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยของการตั้งบ้านแปลงเมือง ดังที่ปรากฏหลักฐานทางด้านโบราณคดีตามชุมชนโบราณขนาดใหญ่หลายแห่ง
มีการขุดคูน้ำและแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค นอกจากเหตุผลด้านการป้องกันข้าศึกศัตรูแล้วยังเป็นแหล่งอาหารให้กับประชากรในชุมชนอีกด้วย
ผลสะท้อนอย่างหนึ่งจากการจัดการระบบน้ำแสดงวาชุมชนนั้นจะต้องมีการจัดระบบแรงงานไว้ระดับหนึ่งเช่นกัน
3. การรักษาโรค
สภาพลักษณะทางภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนของประเทศไทยได้ก่อให้เกิดความหลากหลายทางด้านชีวภาพ ซึ่งได้ก่อกำเนิดพืชที่มีคุณประโยชน์ในการรักษาโรค
คนไทยจึงได้สร้างภูมิปัญญาในการนำพืชต่างๆเหล่านี้มาผ่านกระบวนการรักษาโรคอย่างเป็นระบบมานานแล้ว ภูมิปัญญาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาในความเข้าใจถึงลักษณะของธรรมชาติ
4. การประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผา เครื่องปั้นดินเผา
นับเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีมาแต่โบราณปรากฏหลักฐานในการขุดพบซากโบราณวัตถุ ซึ่งมักจะมีเครื่องปั้นดินเผารวมอยู่ด้วย และที่มีหลักฐานชัดเจน ได้แก่
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง จังหวออุดรธานี เป็นภาชนะดินเผาที่ปั้นด้วยมือ
หรือใช้ไม้ตีผิวนอกให้ได้รูปตามต้องการ เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงมีรูปแบบและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ต่อมาในสมัยประวิติศาสตร์ เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย มีการปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ
ชนิดที่เคลือบ เรียกว่า เครื่องสังคโลก เครื่องสังคโลกสุโขทัยมีทั้งชนิดหนาและชนิดบาง
สีมีทั้งสีเขียวไข่กากับสีน้ำตาล การผลิตเครื่องปั้นดินเผามีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
5. การประดิษฐ์เครื่องจักรสาน
คนไทยเรารู้จักนำวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากิ
ค้นเมื่อวันที่ 11.ก.พ.59