คหบดีจากกรุงเทพมหานครได้บริจาดที่ดินบริเวณติดถนนสุวินทวงศ์และที่ว่าการอำเภอ จำนวล 29 ไร่ 3 งาน กว่าเพื่อให้ก่อสร้างโรงพยาบาลโคกปีบ ต่อมาประมาณ 2529 จึงดำเนินการกอ่สร้างแล้วเสร็จและให้บริการได้ได้ประมาณ 2530
ต่อมาในเดือน มกราคม 2534 คุณแม่ประไพ รัศมีทัต ได้มีจิตศรัทธาได้บริจากเงินเพื่อการก่อสร้างโรงพยาบาลและอุปการณ์การแพทย์ครบชุดรวมมูลค่า 14 ล้านบาทเพื่อก่อตั่ง โรงพยาบาลศรีมโหสถในปัจจุบัน
เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ให้บริการด้านการพยาบาล ส่งเสริมควบคุม และป้่องกันโรคแก่ประชาชน
อย่าง มีคุณภาพ ตามมตรฐานวิชาชีพด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อประชาชนมีสุขภาพที่ดี และเกิดความพึงพอใจสูงสุด
ประวัติความเป็นมา ตำบลโคกปีบ :
ตำบลโคกปีบเดิมขึ้นอยู่กับอำเภอศรีมหาโพธิ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2513 กระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอโคกปีบแยกการปกครองจากอำเภอศรีมหาโพธิ์ และเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2520 ยกฐานะเป็นอำเภอโคกปีบ จนกระทั่งวันที่ 3 มิ.ย. 2536 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอศรีมโหสถ ที่ชื่อตำบลโคกปีบเพราะแต่ก่อนมีต้นดอกปีบขึ้นมากในพื้นที่นี้ และยังใช้เป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรีในปัจจุบันนี้ และมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 9 หมู่บ้านได้แก่ หมู่ 1บ้านสระมะเขือ, หมู่ 2 บ้านโคกวัด, หมู่ 3 บ้านโคกปีบ, หมู่ 4 บ้านโคกปีบ, หมู่ 5 บ้านม่วงขาว, หมู่ 6 บ้านม่วงขาว, หมู่ 7 บ้านด่าน, หมู่ 8 บ้านหนองสะแก, หมู่ 9 บ้านหนองเรือ
ห่วงอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดชนิดชั่วคราวที่ดีวิธีหนึ่ง และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูง ประหยัด สามารถคุมกำเนิดได้ระยะเวลานาน เพื่อรอเวลาจนกว่าจะพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ โดยสามารถถอดห่วงอนามัยออกได้ง่าย ภาวะการเจริญพันธุ์กลับมาในระยะเวลาอันสั้น ห่วงอนามัยคุมกำเนิด มีลักษณะเป็นเหมือนรูปตัว T หรือรูปสมอเรือ ขดไปมาใส่ในโพรงมดลูกเพื่อป้องกันการฝังตัวของไข่ การใส่ห่วงอนามัยจะไปรับบริการใส่เมื่อใดก็ได้ (หากแน่ใจว่าไม่ตั้งครรภ์) ระยะเวลาที่เหมาะที่สุดคือภายใน 10 วันนับจากวันแรกที่มีประจำเดือน สามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 และ 10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วงอนามัย หลังใส่ห่วงแพทย์จะนัดตรวจเป็นระยะๆ ควรไปตามนัดหมายจนกว่าจะครบกำหนดถอดห่วงอนามัย
*ข้อมูลรวบรวมโดย Healthserv.net เพื่ออำนวยความสะดวกเบื้องต้นให้กับผู้ชมที่ต้องการข้อมูลสถานพยาบาล ไม่ใช่เว็บทางการของรพ./สถานพยาบาลแต่อย่างใด แนะนำให้ไปยังเว็บไซต์/เฟซบุ๊ค/หรือช่องทางติดต่อของรพ./สถานพยาบาลนั้นๆ โดยตรง