สมัยที่เราตัวคนเดียวการยื่นภาษีเป็นเรื่องที่มีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว คือ ยื่นด้วยจำนวนรายได้ที่เรามี และหักลดหย่อนตามสัดส่วนต่าง ๆ แต่เมื่อเรามีคนอีกคนกลายเป็นสามี-ภรรยา ทำให้เรามีทางเลือกที่จะจ่ายภาษีในสถานะใหม่ ทางเลือกก็คือ แยกยื่น กับ ยื่นร่วมกัน อย่างไรน่าสนใจกว่ากันลองมาดูกรณีศึกษาต่อไปนี้
กรณีแรก “คู่สมรสมีเงินได้อยู่ในฐานภาษีเดียวกัน หรือรายได้ใกล้เคียงกัน”
ในกรณีนี้แนะนำให้แยกยื่น โดยต่างฝ่ายต่างแยกยื่นเงินได้ในชื่อของตนเอง จะทำให้โดยรวมแล้วทั้งคู่จะเสียภาษีน้อยกว่าการร่วมยื่น เนื่องจากคู่สมรสจะได้รับยกเว้นภาษี 1.5 แสนบาทแรกทั้งคู่ แต่ถ้าหากคิดจะร่วมยื่นกัน จะทำให้เงินรวมรายได้สุทธิสูงมากขึ้น ก็จะไปเข้าในฐานภาษีที่สูงขึ้น ทำให้มีโอกาสส่งผลให้เสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นนั่นเอง
กรณีที่สอง “คู่สมรสทั้งสองคนมีรายได้ไม่สูง แต่มีรายการใช้เป็นค่าลดหย่อนได้มาก”
ในกรณีที่คู่สมรสทั้งสองคนมีรายได้ไม่สูง แต่มีรายการใช้เป็นค่าลดหย่อนได้มาก แนะนำให้ยื่นร่วมกัน โดยรวมเงินได้ทุกประเภทเข้าด้วยกัน ทั้งกรณีสามีเป็นผู้ยื่นแบบ หรือภรรยาเป็นผู้ยื่นแบบ
สำหรับกรณีที่สามีภรรยาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีรายได้ไม่สูงนัก แต่มีรายการที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้มาก ถ้าไปแยกยื่นจะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังนี้
- แยกยื่นแล้วรายได้สุทธิถึงเกณฑ์ไม่ต้องเสียภาษี ในกรณีนี้หลายคนอาจคิดว่าก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ความจริงคือเราถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว ถ้ารายได้เราไม่ถึงเราจะไม่สามารถขอคืนภาษีได้ ในขณะที่ทั้งคู่มีรายการที่ใช้หักลดหย่อนภาษีได้มาก แบบนี้ถ้าแยกยื่นอาจเสียประโยชน์ ควรร่วมยื่นนำรายได้ทั้งสองมารวมกัน และยื่นทีเดียว และนำรายการหักลดหย่อนภาษีได้ไปหักเพื่อขอภาษีในส่วนนี้คืน ไม่เสียสิทธิ์
- แยกยื่นแล้วต้องเสียภาษีมากกว่าการยื่นร่วม ในกรณีที่รายได้ของคู่สมรสและตัวเราเองมีไม่มาก แต่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี การแยกยื่นเราจะต้องเสียภาษีมากกว่าการยื่นร่วม และรายการที่หักลดหย่อนอาจจะกระจัดกระจาย แบบนี้ควรยื่นร่วมกัน แต่ต้องพิจารณาว่ายื่นร่วมแล้วยังอยู่ในฐานภาษีเดิม และนำรายการลดหย่อนมารวมกันหักลดหย่อนได้อย่างเต็มที่จะดีกว่า
กรณีที่สาม “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง”
ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง แนะนำยื่นรวมเฉพาะเงินได้ประเภทอื่น แต่ให้แยกยื่นเงินเดือนออกมา โดยกรณีที่คู่สามีภรรยาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง และอาจมีเงินได้ประเภทอื่น ๆ บ้าง เช่น รายได้จากค่าเช่า รายได้จากเงินปันผลหุ้น ค่าคอมมิชชั่นจากงานเสริม ถ้าคู่สมรสมีฐานภาษีสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง แนะนำให้ฝ่ายที่มีเงินเดือนสูงยื่นแบบเสียภาษีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนในชื่อของตนเอง แล้วนำเงินได้ประเภทอื่นไปยื่นรวมกับคู่สมรสแทน วิธีการนี้จะช่วยให้ฐานภาษีของตนเองลดลง และทำให้โดยรวมแล้วทั้งคู่จะเสียภาษีน้อยกว่าการแยกยื่น
อย่างไรก็ตามการจะเลือกว่าควรยื่นเสียภาษีแบบใดนั้นต้องพิจารณาฐานภาษีเงินได้ของตนเอง และคู่สมรสเป็นหลัก ถ้าการแยกยื่นจะทำให้เราเสียประโยชน์การขอคืนดังกรณีข้างต้น ก็แนะนำให้ยื่นร่วมกันจะดีกว่า แต่หากการยื่นร่วมกันจะทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และต้องจ่ายภาษีมากขึ้น แบบหลังแนะนำให้แยกยื่นจะดีที่สุด
ฐานภาษีใหม่ในปี 2560
สำหรับฐานภาษีใหม่ในปี 2560 มีดังต่อไปนี้
รายได้ | อัตราภาษีที่ต้องเสีย |
รายได้ไม่เกิน 300,000 บาท | ร้อยละ 5 |
รายได้เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท | ร้อยละ 10 |
รายได้เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 750,000 บาท | ร้อยละ 15 |
รายได้เกิน 750,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท | ร้อยละ 20 |
รายได้เกิน 1,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท | ร้อยละ 25 |
รายได้เกิน 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท | ร้อยละ 30 |
รายได้เกิน 5,000,000 บาทขึ้นไป | ร้อยละ 35 |
ทั้งนี้ฐานภาษีใหม่จะเริ่มใช้ภายในปี 2560 ดังนั้น เราควรวางแผนการเสียภาษี และมองหาการลงทุนเพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษีไว้ล่วงหน้า แม้ฐานภาษีใหม่จะดูต่ำกว่าเก่า แต่จะมีการซอยระดับรายได้ของเราให้ถี่ขึ้น ถ้ารายได้เราโตเร็วก็จะต้องเสียภาษีในฐานใหม่เร็วกว่าที่เราคาดคิด ควรวางแผนแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลัง ถ้าวางแผนดีนอกจากจะประหยัดภาษีได้แล้ว ยังสบายใจอีกด้วยนะครับ
โดย ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์ประจำวิชากฎหมายภาษีอากร
เงินได้ประเภทที่ 2 คือ เงินได้พึงประเมิน ในรูปของ เงินค่าจ้างทั่วไป ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนที่คุณไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายลูกน้อง ที่ทำให้ผู้รับเงินมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในวงการภาษีบางครั้งก็เรียกว่า เงินได้ 40(2)1
อย่างไรก็ดี ถ้าคุณมีคู่สมรสที่จะแยกยื่นภาษีเองอยู่แล้ว คุณสามารถเลือกให้คู่สมรสนำเงินได้ประเภทนี้ของคุณไปยื่นเป็นรายได้ของเขาแทนก็ได้2
การหักค่าใช้จ่าย
เงินได้ประเภทที่ 2 จะหัก ค่าใช้จ่าย ได้วิธีเดียว คือ หักแบบเหมา 50% แต่สูงสุดไม่เกิน ฿100,0003
แต่ถ้ามีทั้งเงินได้ประเภทที่ 2 และ เงินได้ประเภทที่ 1 (เช่น เงินเดือนจากงานประจำ) ด้วย จะหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมาได้เพียงวิธีเดียว โดยหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน แต่จะหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน ฿100,0004
(เงินได้ประเภทที่ 1 + เงินได้ประเภทที่ 2) x 50% = ค่าใช้จ่าย แต่ไม่เกิน ฿100,000
ดังนั้น วิธีคิดง่ายๆ คือ ทันทีที่เรามีเงินได้ประเภทที่ 1 และ เงินได้ประเภทที่ 2 รวมกันเกิน ฿200,000 คุณจะหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดแค่ ฿100,000 เท่านั้น
ตัวอย่าง
ถ้าคุณมีเงินได้จากค่านายหน้าตลอดท้ังปี ฿360,000 เมื่อกฎหมายอนุญาตให้คุณหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 50% ได้เพียงทางเดียวเท่าน้ัน คุณจึงน่าจะหักค่าใช้จ่ายสำหรับค่านายหน้าของคุณได้
฿360,000 x 50% = ฿180,00
แต่เนื่องจากกฎหมายกำหนดเพดานให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับค่านายหน้าได้สูงสุดเพียง ฿100,000 ดังน้ัน เราจึงหักค่าใช้จ่ายสำหรับค่านายหน้าได้
-฿180,000- ฿100,000 เท่าน้ัน
อะไรเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 ได้บ้าง?
โดยทั่วไป เงินได้ประเภทที่ 2 จะครอบคลุมถึงรายได้ในรูปค่าตอบแทนการรับจ้างทั่วไปที่คุณไม่มีความสัมพันธ์เป็นเจ้านายลูกน้อง และไม่เข้าข่าย การประกอบวิชาชีพอิสระ เช่น
- ค่านายหน้า ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนของเซลส์แมน, ตัวแทนประกันชีวิต, นักธุรกิจขายตรง, นักธุรกิจเครือข่าย และอาชีพอื่นที่คุณไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือลูกน้อง
- ค่าตอบแทนของพริตตี้, พิธีกร, Model, MC, PG, PC ตามงานโชว์ตัวหรืองาน Event ต่างๆ
- รับงานรีวิวสินค้า หรือ Advertorial หรือ Sponsored post ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter, Youtube
- ค่าปรึกษาของผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพแพทย์/พยาบาล, ที่ปรึกษากฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี หรือนักประณีตศิลปกรรม
- ผู้ว่าจ้างหาที่อยู่ให้โดยไม่คิดค่าเช่า หรือออกเงินค่าเช่าบ้านให้ (ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างของคุณไม่ใช่หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งเบื้องต้นจะคิดเป็นมูลค่า 20% ของค่าจ้างตลอดทั้งปี5
- ผู้ว่าจ้างเคลียร์ภาระหนี้สินให้คุณ
- เบี้ยประชุม ค่าสอน ค่าสอบที่หน่วยงานเอกชนจ่ายให้คุณ
- ค่าปรึกษาของผู้ประกอบวิชาชีพอิสระที่ไม่ได้คิดตามความยากง่ายและปริมาณงาน เช่น ค่าวิชาชีพทางการแพทย์/พยาบาลอื่นๆที่เหมาจ่ายเป็นรายเดือน หรือไม่เข้าข่ายการประกอบวิชาชีพอิสระ (เงินได้ประเภทที่ 6)
- ค่าจ้างการสร้างผลงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา และสุดท้ายผู้ว่าจ้างจะเป็นเจ้าของสิทธิ์ขาดในงานนั้น เช่น รับจ้างเขียนคอลัมน์, แต่งเพลง, เขียน website, software ฯลฯ
- ค่าตอบแทนของผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการในสถานบันเทิง ผู้บรรยายหรือนักพากย์ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาธารณะ ผู้กำกับการแสดง ผู้จัดการทีมกีฬา ผู้ฝึกสอนนักกีฬาหรือบุคคลที่ทำหน้าที่ทำนองเดียวกัน
- เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากผู้ว่าจ้างและเกี่ยวข้องกับการรับจ้างทั่วไป
ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไร มีรายได้มาจากช่องทางไหนบ้าง คุณจะต้องให้ความสำคัญกับการคำนวณและวางแผนภาษีด้วย และหากคุณไม่รู้ว่าจะต้อง คำนวณภาษี หรือ วางแผนภาษีจากตรงไหน คุณสามารถใช้บริการ iTAX application เพื่อคำนวณภาษีและวางแผนภาษีได้แม้ไม่มีความรู้เรื่องภาษีเลยก็ตาม นอกจากนี้ คุณยังสามารถ ค้นหาตัวช่วยลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย อยากรู้ว่ารายได้แบบเรา ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ คลิกเลย!!
อ้างอิง
- ^
มาตรา 40(2) ประมวลรัษฎากร
- ^
ข้อ 2.2 หน้า 2-3 คำชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากสามีและภริยา (ฉบับที่ 2),www.rd.go.th
- ^
มาตรา 42 ทวิ ประมวลรัษฎากร
- ^
มาตรา 42 ทวิ ประมวลรัษฎากร
- ^
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 23/2533