ชีพจรเต้นเร็วอันตรายต่อชีวิตหรือไม่
ปกติแล้วคนทั่วไปชีพจรจะเต้น 60-100 ครั้งต่อนาที แต่รู้หรือไม่ว่าคนที่มีสุขภาพดีชีพจรจะเต้นต่ำกว่า 90 ครั้งต่อนาที เพราะการที่หัวใจเต้นเป็นปกติดีแสดงถึงความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดต่าง ๆ แล้วถ้าชีพจรเต้นเร็วผิดปกติล่ะ จะมีอันตรายต่อชีวิตหรือไม่
ชีพจรเต้นเร็วบอกอะไร
การที่ชีพจรเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาทีนั้นพบว่ามีความสัมพันธ์กับหัวใจที่เต้นเร็ว เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะให้ทั่วร่างกาย ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่เตือนว่าร่างกายมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากชีพจรเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด หมดสติ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตต่ำได้
วัดชีพจรอย่างไร
ก่อนที่จะวัดชีพจรต้องงดทำกิจกรรมเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเดิน วิ่ง ขึ้นบันได ยกของหนัก หรือการทำงานหนักที่หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น ดังนั้น ควรวัดชีพจรตอนที่นั่งพักเฉย ๆ มาสักระยะแล้วอย่างน้อย 5-10 นาที รวมถึงการไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หากดื่มมาแล้วควรเว้นระยะก่อนวัดชีพจร 1 ชั่วโมงขึ้นไป
วิธีการวัดชีพจรง่าย ๆ ทำได้โดยการวางนิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนข้อมือ กดลงไปเบา ๆ จะรับรู้ได้ถึงสัญญาณชีพที่เต้นตุ้บ ๆ อยู่ ให้จับเวลา 30 วินาทีแล้วนับว่าหัวใจเต้นไปกี่ครั้ง จากนั้นนำตัวเลขที่วัดได้มาคูณสอง (x2) ผลลัพธ์ที่ออกมาคือจำนวนการเต้นหัวใจภายใน 1 นาที และเพื่อความแม่นยำแนะนำให้ทำซ้ำอย่างน้อย 2-3 ครั้งแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย
เคล็ดลับการวัดชีพจรให้ได้ผลดี : ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการวัดชีพจรคือตอนเช้าหลังจากการตื่นนอน แต่หากว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สามารถตรวจชีพจรอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยวัดชีพจรในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า กลาง เย็น และก่อนนอน จากนั้นนำมาค่าหาเฉลี่ยจะได้ค่าชีพจรที่ถูกต้อง
ชีพจรเต้นเร็วไปจะทำอย่างไรดี
ถ้าชีพจรเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที วิธีการเบื้องต้นที่สามารถช่วยได้ผลเป็นอย่างดีคือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยครั้งละอย่างน้อย 30 นาที และอย่าปล่อยให้ตัวเองอ่อนเพลีย ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
อย่าลืมว่าการวัดชีพจรเป็นเพียงการตรวจด้วยตนเองแบบง่าย ๆ เท่านั้น ปัจจัยที่จะให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดยังมีอีกหลายสาเหตุ ถ้าชีพจรเต้นเร็วทุกครั้งที่ทำการตรวจ ร่วมกับอาการเหนื่อยหอบ เจ็บหรือแน่นหน้าอกเมื่อต้องออกแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจโดยละเอียด
สุขภาพของคนเรานั้นจะดีหรือไม่ดี นอกจากจะสังเกตได้จากภายนอกแล้ว ก็ยังสังเกตได้จากภายในได้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือการวัด อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า สุขภาพของคุณนั้นยังอยู่ในภาวะปกติอยู่หรือไม่
ซึ่งหลายคนอาจจะเกิดความเข้าใจผิดไปบ้างเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสม ดังนั้นวันนี้ Fit Me จึงมาไขคำตอบนั้นให้เข้าใจกันว่าอัตราการเต้นของหัวใจ ต้องเต้นเท่าไรถึงจะปกติ และอัตราการเต้นของหัวใจในแต่ละช่วงวัยที่ปกตินั้นควรเป็นเท่าไหร่บ้าง
วิธีวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ก่อนอื่นเรามาดูวิธีง่ายๆ ในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจกันก่อนค่ะ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้กันโดยทั่วไปก็คือ วัดจากอัตราการเต้นของชีพจรบริเวณข้อมือ ซึ่งเป็นบริเวณที่วัดง่ายที่สุด หรือจับชีพจรบริเวณด้านข้างคอก็ได้ค่ะ ในขณะที่ร่างกายของเราไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ
โดยให้วางปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางบริเวณเส้นชีพจร จากนั้นให้จับเวลาการเต้นภายใน 30 วินาที แล้วนำจำนวนครั้งที่ได้มาคูณสอง จะได้เป็นอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีของเราค่ะ
ควรทำแบบนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อดูว่าค่าที่เราวัดได้นั้นใกล้เคียงกันหรือไม่ หากค่าต่างกันมาก ควรวัดใหม่อีกครั้ง
อัตราการเต้นของหัวใจที่เราวัดได้นั้น เรียกว่า อัตราการเต้นหัวใจขณะพัก (Resting Heart Rate) ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจนี้จะเป็นตัวบ่งบอกสุขภาพของเราได้ค่ะ
ทริคเล็กๆ ในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก มีดังนี้ค่ะ
- ไม่ควรวัดหลังจากที่เพิ่งออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักภายใน 1-2 ชั่วโมง
- หากดื่มหรือกินอาหารที่มีคาเฟอีน ควรวัดชีพจรหลังจากนั้นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- หากเป็นไปได้ แนะนำให้วัดหลังจากที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้าทันที ก่อนที่จะลุกออกจากเตียง
อัตราการเต้นของหัวใจในแต่ละช่วงวัย
เมื่อเราทราบอัตราการเต้นของหัวใจของเราแล้ว เราจะมาดูกันว่าสุขภาพของเราปกติหรือไม่ ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยนะคะ เช่น เพศ อายุ ความฟิตของร่างกาย และโรคประจำตัว เป็นต้น
ทารกหรือเด็กเล็ก
เด็กเล็กหรือทารก ควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 90-140 ครั้งต่อนาที หากเต้นช้าหรือมากกว่านี้ ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือน แสดงความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจได้
วัยรุ่นและผู้ใหญ่
โดยปกติแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของคนเราในขณะพัก โดยที่ไม่ได้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวใดๆ จะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที ถือเป็นอัตราการเต้นที่ปกติ
ผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุ ควรมีอัตราการเต้นของหัวใจในระดับเดียวกับวัยรุ่น นั่นก็คือราวๆ 60-100 ครั้งต่อนาที หากมีอัตราการเต้นของหัวใจที่มากเกิน 100 ครั้งต่อนาที แสดงว่าร่างกายเกิดความผิดปกติ ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาโดยด่วน เพราะหากปล่อยเอาไว้ก็มีโอกาสหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ การเต้นของหัวใจยังสัมพันธ์กับการทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย โดยมีการวิจัยว่า ผู้ที่เป็นนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนักเป็นประจำ อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักอาจจะอยู่ที่ราวๆ 40-50 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น
ยิ่งความฟิตของร่างกายของเรามากเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจจะต่ำลง เพราะหัวใจไม่ต้องทำงานหนัก
และในขณะที่ออกกำลังกาย ถ้าเรามีความฟิตมาก อัตราการเต้นของหัวใจก็จะไม่สูงขึ้นง่ายเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย มีความทนทานในการออกกำลังกายได้มากกว่านั่นเองค่ะ
หากอัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินจากที่กล่าวมาข้างต้น ควรสังเกตและวัดชีพจรบ่อยๆ และบันทึกไว้ และรีบไปปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ เพื่อหาสาเหตุของอาการและรักษาได้อย่างทันท่วงที
ปัจจุบันมีนาฬิกาสุขภาพที่สามารถวัดอัตรการเต้นของหัวใจได้ ช่วยให้เราสามารถเช็กสภาพร่างกายของเราได้สะดวกมากขึ้นด้วยค่ะ
สรุป
อัตราการเต้นของหัวใจเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรเอาใจใส่ เพราะหากเต้นเร็วหรือช้าเกินไป ก็จะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าสุขภาพคุณกำลังมีปัญหานั่นเอง
ดังนั้นควรหมั่นดูแลร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจคุณยังเป็นปกติ และเพื่อให้สุขภาพที่ดีคงอยู่กับร่างกายของคุณไปได้อย่างยาวนาน
จบแล้ว…ไว้พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
Fit Me ฝากกด Like เพจด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดบทความดีๆ จากเรา