ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในทวีปแอฟริกา
ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่กำลังพัฒนา มีประชากรมาก ประชากรส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำ และยากจน ขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าของแต่ละประเทศจึงเน้นไปที่เรื่องปากท้องของผู้คนเป็นหลัก ทำให้การดูแลจัดการปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมีน้อย ซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของทวีปแอฟริกามีดังนี้
1.ภัยแล้ง
เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับทวีปแอฟริกามากที่สุด และเกิดต่อเนื่องมาเกือบทุกปี ทุกประเทศในทวีปล้วนประสบภัยแล้งด้วยกันทั้งสิ้น ภัยแล้งในทวีปแอฟริกาเกิดจากสภาพของพื้นที่อยู่ในเขตแห้งแล้ง การขยายตัวของพื้นที่ทะเลทรายซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 25,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่สีเขียวถูกบุกรุกทำลายในสภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง ผลของภัยแล้งทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายปศุสัตว์ล้มตาย ขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลทำให้เกิดทุพภิกขภัยติดตามมา ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตเพราะขาดอาหารในทวีปแอฟริกาประมาณ 1.6 ล้านคน และภัยแล้งยังทำให้พืชผลและต้นไม้ต่างๆถูกทำลาย
2. การตัดไม้ทำลายป่า
ทวีปแอฟริกามีพื้นที่ป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์เหลือเพียงร้อยละ 18 ของเนื้อที่ป่าของโลก เป็นทวีปที่มีการบุกรุกทำลายป่ามากที่สุดของโลกในปัจจุบันอันเนื่องมาจากหลายประเทศส่งเสริมการตัดไม้ ส่งสินค้าออก และแปรรูปผลผลิตจากไม้ ติดต่อกันมานาน เช่น แกมเบีย ไนเจอร์ สาธารณรัฐแอฟริกากลางสาธารณรัฐคองโก เป็นต้น ทั้งนี้บางประเทศที่เคยส่งไม้เป็นสินค้าออก ปัจจุบันต้องสั่งนำเข้า นอกจากนี้ยังเกิดจากประชากรต้องใช้ถ่านและฟืนเป็นเชื้อเพลิง รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ทำไร่เลื่อนลอยและทำฟาร์มเพาะปลูกขนาดใหญ่เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งการทำลายป่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในเกือบทุกประเทศ
3. ที่ดินเสื่อมโทรม
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเพาะปลูกไม่ได้ผล ส่งผลให้เกิดภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร เกิดการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าเพื่อใช้เป็นแหล่งเพาะปลูกใหม่มากขึ้น สาเหตุที่สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับดินเกิดปัญหาเสื่อมโทรม ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบมาจากภัยแล้ง สาเหตุอื่นๆมาจากการเกษตรกรขาดความรู้ ความเข้าใจการจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีการใช้ปุ๋ยเคมี และสารปราบศัตรูพืชกันอย่างกว้างขวาง ผิวหน้าดินถูกชะล้างทำลายจากสาเหตุต่างๆ
4. การขาดแคลนน้ำและมลพิษทางน้ำ
แหล่งน้ำสำคัญของทวีปแอฟริกามีไม่มากและจำกัดอยู่เฉพาะในบางบริเวณ ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลปริมาณน้ำในทะเลสาบและแม่น้ำสายสำคัญจึงลดลงมาก ประกอบกับการขยายพื้นที่เกษตรกรรมต้องใช้น้ำในการเพาะปลูกมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำจากการเพิ่มขึ้นของประชากรส่งผลให้น้ำขาดแคลนมากขึ้น ประชากรต้องใช้น้ำที่ไม่สะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้เกิดปัญหาสาธารณสุขตามมา ประเทศที่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำมาก เช่น เอธิโอเปีย ซูดาน เป็นต้น
Dr. Youba Sokona, Malian รองประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกล่าวว่า นักวิชาการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสถาบันต่างๆในแอฟริกา มักไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้กำหนดนโยบายหรือรัฐบาลในทวีปนี้ การวิจัยและแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ของพวกเขานั้นถูกเก็บไว้นานเกินไปและแทบไม่เคยได้มีโอกาสนำมันเข้าสู่การอภิปรายนโยบายเลย และแนวทางที่กระจัดกระจายนี้ยังส่งผลจ่อนโยบายของรัฐบาลด้วย กระทรวงต่างๆมักจะดำเนินตามแนวคิดของผู้บริจาคที่แตกต่างกันไป โดยไม่ได้ประสานงานทางการเมืองระดับสูงอย่างเป็นระบบ และมันกำลังนำไปสู่ปัญหาที่ละน้อยๆ ดังนั้นผู้บริจาคจึงไม่ควรกำหนดนโยบายแต่ต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น พูดง่ายๆว่าจะทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้วย เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับแอฟริกาก็ได้ที่จะได้คิดอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับวิธีพพัฒนาและการจัดการ เพราะสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายไม่รอใคร ต้องลงมือทำได้แล้ว
การปล่อยมลพิษต้องเพิ่มขึ้นก่อน
งงล่ะสิ ทำไมต้องเพิ่มการปล่อยมลพิษ ศาสตราจารย์ Chukwumerije Okereke จากไนจีเรีย ผู้ทำงานธรรมาภิบาลสภาพภูมิอากาศและนักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศกล่าวว่า แม้ว่าจะมีผลกระทบในวงกว้างขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแอฟริกา แต่ประเทศที่สนับสนุนก็จะได้รับการปรับปรุงให้น้อยที่สุด กล่าวคือ พันธมิตรระหว่างประเทศมุ่งเน้นไปที่การป้องกันหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3 เท่าในการจัดการเรื่องนี้
ฉันทามติทั่วโลกดูเหมือนจะสมดุลโดยเน้นไปที่การกำจัดก๊าซเรือนกระจกผ่านพืชหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ สิ่งนี้ได้ละเลยการพัฒนาครั้งใหญ่และท้าทายด้านพลังงานที่แอฟริกาต้องเผชิญ และแน่นอนว่าการปล่อยมลพิษจากทวีปอาจต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันใกล้นี้ก่อนที่จะตกดิ่งลงมา
ดูเหมือนว่าประเทศร่ำรวยหลายแห่งคาดหวังว่าแอฟริกาจะก้าวกระโดดไปสู่เทคโนโลยีสะอาดเพื่อการผลิตพลังงาน แต่ก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นด้านการลงทุนตามขนาดที่จำเป็นเพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง แม้ว่าแอฟริกาจะทำข้อตกลงในการลดการพึ่งพาถ่านหินได้อย่างมีขั้นมีตอนและเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้วก็ตาม
ประเทศในแอฟริกาที่อุดมไปด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลและจำเป็นต้องรู้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องสร้างสถาบันและนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสีเขียว ซึ่งมีตัวอย่างให้ดูแล้วในรวันดาและเอธิโอเปีย แต่ก็ยังต้องดำเนินการอีกมากมายในการกำกับดูแลที่ยังไม่ดีพอ
ต้องใช้เงินทุน ไม่ใช่เงินกู้
Dr. Christopher Trisos จากแอฟริกาใต้ ผู้ริเริ่มโครงการด้านสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาแอฟริกาใต้กล่าว่า หลายประเทศพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนอย่างมาก นั่นคือ ไฟฟ้าพลังงานน้ำ เพื่อผลิตกระแสไฟ แต่ภัยแล้งเมื่อเร็วๆนี้ เช่น เอลนีโญในปี 2015-2016 ทำให้เกิดการขาดแคลนไฟฟ้าเป็นวงกว้าง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคตจะสามารถลดกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำได้อย่างมากในลุ่มน้ำสำคัญของแอฟริกา และจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมที่มีการจ้างงานคนจำนวนมาก
การจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสจะช่วยลดความเสียหายต่ออนาคตการดำรงชีวิต สุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและระบบนิเวศของแอฟริกาเป็นอย่างมาก เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่ลึกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศที่มีการปล่อยมลพิษสูงนอกจากแอฟริกา
คุณภาพของการเงินก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันส่วนใหญ่มีการจัดหาเงินให้กู้ยืมมากกว่าการให้เงินช่วยเหลือ ซึ่งหมายความว่าประเทศต่างๆที่ทำประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อยและก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะกลายเป็นหนี้บุญคุณต่อประเทศที่ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย
Dr. Kgaugelo Chiloane ผู้ก่อตั้ง KEC Environmental Solutions ชาวแอฟริกากล่าวว่า ชุมชนชาวแอฟริกาที่อ่อนแอและยากจนต้องการความช่วยเหลือในการปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่เสียงของพวกเขาต้องได้รับการรับฟังด้วย พวกเขามีความรู้และความเชี่ยวชาญแบบดั้งเดิมมากมายบนผืนดินที่ถูกละเลย นโยบายมักถูกนำไปใช้โดยชุมชนไม่ได้ไปมีส่วนร่วม ผู้ที่ก่อมลพิษควรชดใช้ด้วยเงินทุนที่จะเอามาแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนขนาดใหญ่ ควรรับผิดชอบและชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นในฐานะผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ เนื่องจากเราปล่อยให้พวกเขาสร้างผลกำไรมานานหลายทศวรรษ
ก่อนหน้านี้แอฟริกาประสบกับปัญหาภัยแล้งรุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องขนส่งอาหารที่จำเป็นมาให้คนในแต่ละพื้นที่เพื่อประทังความหิวโหย เด็กและสตรีมีครรภ์มีภาวะขาดสารอาหาร หลายประเทศในแอฟริกาจำเป็นต้องใช้น้ำเพื่อการเกษตรและพลังงานไฟฟ้า แต่ต้องขาดแคลนไป ทำให้ผู้คนหารายได้ไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานหลายพันคนและผู้ประกอบการอีกหลายเจ้า ซึ่งสามารถอ่านบทความภัยแล้งในเคนย่าต่อได้ที่ ประเทศเคนย่าน่าห่วง โดนภัยแล้งโจมตี สัตว์ล้มตาย คนนับล้านขาดสารอาหาร