✅ บทความนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว
KEY POINTS:
- การใช้ยาคุมฉุกเฉินไม่ควรใช้บ่อยๆ หรือใช้แทนการคุมกำเนิดระยะยาว เพราะจะทำให้เป็นอันตราย จากโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคมะเร็งทางนารีเวช รวมถึงยังลดประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อีกด้วย
- การกินยาคุมฉุกเฉินต้องกินเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เม็ดที่ 2 หลักจากกินเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ไมเกรนชนิดมีอาการเตือน ไม่ควรทานยาคุมฉุกเฉิน เพราะจะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
Table of
Contents
การคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
ยาคุมฉุกเฉินมีกี่ประเภท?
ข้อควรรู้ในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
วิธีกินยาคุมฉุกเฉิน
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
ข้อห้ามในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินยาคุมฉุกเฉิน
การคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
การคุมกำเนิดฉุกเฉิน คือ การป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือ ล้มเหลวในการป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัยหลุด การไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด ลืมกินยาคุมกำเนิด ห่วงคุมกำเนิด หรือยาฝังคุมกำเนิดหลุด รวมไปถึงการถูกข่มขืน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills, Morning-after Pills และ Post-coital Contraceptives) คือยาคุมกำเนิดที่ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดหรือไม่พึงประสงค์ ไปจนถึงการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการคุมกำเนิด
ยาคุมฉุกเฉินมีกี่ประเภท?
การกินยาคุมฉุกเฉิน คือ การรับประทานฮอร์โมนเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่สูงมาก โดยยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะยับยั้งหรือทำให้การตกไข่ในร่างกายเลื่อนออกไป ซึ่งในปัจจุบันมียาคุมฉุกเฉินทั้งหมด 3 ชนิด โดย 2 ชนิดแรกนั้น เป็นยาคุมฉุกเฉินที่ใช้ฮอร์โมนในการคุมกำเนิด ในขณะที่ยาคุมฉุกเฉินชนิดที่ 3 นั้น เป็นการใช้ตัวยาในการยับยั้งการตกไข่และฮอร์โมนของร่างกาย ซึ่งยาคุมแต่ละชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกันต่อไปนี้
1. ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Estrogen-Progestin)
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม หรือ เรียกว่า Yupze Regimen เป็นยาที่ได้รับการคิดค้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 โดยใช้กลไกในการเพิ่มระดับฮอร์โมนให้สูงขึ้นในร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วยสองฮอร์โมนหลัก ได้แก่ estrogen และ progesterone ในการที่จะยับยั้ง หรือ เลื่อนเวลาของการตกไข่เยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัว และยังมีผลต่อการทำงานของรังไข่ด้วย
โดยการรับประทานยาจะมีส่วนประกอบของ ethinyl estradiol 100 มคก. และ levonogestrel 1 มก. โดยกินหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยทันที หรือภายใน 72 ชั่วโมง และ รับประทานซ้ำอีกครั้ง 2 เม็ด จำนวน 2 ครั้งห่างกัน 12 ชั่วโมง
2. ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดียวโพรเจสติน (Progestin Only)
ยาคุมฉุกเฉินที่ใช้การทำงานของฮอร์โมนตัวเดียว คือ โพรเจสโตเจน ตัวยาที่นิยมใช้ในยาคุมฉุกเฉินก็คือ Levonorgestrel ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ในกลุ่มของโพรเจสตินที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการตกไข่ โดยยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนเดียวนั้น สามารถรับประทานทีเดียว 1 โดส (Dose) โดสละ 1.5 mg หรือจะรับประทานแยกแบ่งเป็น 2 โดส โดสละ 0.75 mg ห่างกัน 12 ชั่วโมง และจะต้องรับประทานโดสแรกภายใน 72 ชั่วโมง ก็มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเช่นเดียวกัน รวมถึงผลข้างเคียงที่ได้รับก็ไม่ต่างกัน
ยาคุมฉุกเฉินประเภทนี้ได้รับการยืนยันจาก US FDA และ WHO ว่าใช้ได้ผลดีถึงแม้จะรับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว 3-5 วัน โดยไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จะมีเพียงอาการคลื่นไส้ อาเจียน เพียงแค่ 24% น้อยกว่ายาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวมอย่างเห็นได้ชัด
3. ยาคุมฉุกเฉินชนิด Selective Progesterone Modulator
ยาคุมฉุกเฉินประเภทนี้ จะมีหลักการโดยการใช้สารต้าน progesterone ไปแย่งจับกับตัวรับปฏิกิริยา ทำให้ progesterone ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ ทำให้มดลุกไม่สามารถที่จะมีสภาพในการฝังตัวอ่อนได้ ซึ่งการที่ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ulipristal และ mifeprisone (RU486) โดยกลุ่มยานี้จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่ากลุ่มยาสองชนิดแรก มักพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน
โดยการใช้ ulipristal รับประทานครั้งเดียว 30 มก. ภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และในส่วนของ mifepristone การรับประทานครั้งเดียว 600 มก. ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
ข้อควรรู้ในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
- ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถใช้ในการทำแท้งได้ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีกลไกในการยับยั้งการตกไข่ และป้องกันการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก เพราะฉะนั้นหากมีไข่ที่ผสมกับอสุจิและฝังตัวอยู่ที่ผนังมดลูกเรียบร้อยแล้ว ยาคุมฉุกเฉินจะไม่สามารถเข้าไปทำลาย หรือยุติการตั้งครรภ์ดังกล่าวได้
- ยาคุมฉุกเฉินมีผลข้างเคียงสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นอาการหลังกินยาคุมฉุกเฉิน ไปจนถึงผลข้างเคียงระยะยาว ซึ่งระยะแรกอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แต่ในระยะยาวหากมีการกินยาคุมฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง อาจส่งผลต่อการท้องนอกมดลูกได้ในอนาคต
- การกินยาคุมฉุกเฉินควรกินให้เร็วที่สุดหลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และต้องกินยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงและตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 75% แต่อย่างไรก็ตามหากทานภายใน 24 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยเพิ่มการป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากถึง 85%
- ยาคุมฉุกเฉิน ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ยาคุมฉุกเฉินไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ และไม่ส่งผลให้การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปช้าลง หรือมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยลง
วิธีกินยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่ที่มีขายในประเทศไทยจะมี 2 เม็ดในหนึ่งกล่อง ซึ่งตัวยามีขนาดเม็ดละ 0.75 mg โดยสามารถกินยาคุมฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนี้
- กินยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือภายใน 72 ชั่วโมงแรก
- กินยาคุมฉุกเฉินเม็ดที่สองหลังจากเม็ดแรกภายใน 12 ชั่วโมง
ทั้งนี้การกินยาคุมให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดไม่ควรเกิน 3-5 วัน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างเต็มที่
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
การกินยาคุมฉุกเฉินเป็นการเพิ่มฮอร์โมนจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจจะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งผลข้างเคียงหลังจากการกินยาคุมฉุกเฉินจะมีอาการดังต่อไปนี้
- อาการวิงเวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดหัวอย่างรุนแรง
- ปวดท้อง
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
- เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก
หากมีอาการดังกล่าวอย่างรุนแรงควรพบแพทย์ทันที ทั้งนี้หากมีอาการอย่างอื่นนอกจากที่กล่าวข้างต้น แนะนำให้พบแพทย์ เพื่อปรึกษาหาสาเหตุต่อไป
ข้อห้ามในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้ ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินโดยเด็ดขาด
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม
- ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น ตับแข็ง โรคตับเฉียบพลัน ไปจนถึงมะเร็งตับ
- ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคลิ่มเลือดอุดตัน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีการทำงานของไตและหลอดเลือดผิดปกติ
- ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปี และสูบบุหรี่จัด เป็นโรคไขมันในเลือดสูงและมีภาวะอ้วน
- ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดที่มีอาการเตือน
หากผู้ที่มีอาการดังกล่าวกินยาคุมฉุกเฉินเข้าไป อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง ดังนั้นหากมีความจำเป็นจะต้องป้องกันการตั้งครรภ์แบบฉุกเฉิน ควรปรึกษาแพทย์หรือใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ ติดต่อกันเพราะจะทำให้ร่างกายดื้อยา และลดโอกาสป้องกันการตั้งครรภ์ รวมถึงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมอีกด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินยาคุมฉุกเฉิน
1. ยาคุมฉุกเฉินราคาเท่าไหร่?
ยาคุมฉุกเฉินในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่วางขายในท้องตลาด โดยมีราคาตั้งแต่ 40 บาทขึ้นไป จนถึง 80 บาท ตามแต่ยี่ห้อที่เลือกใช้
2. ยาคุมฉุกเฉินรับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันได้ไหม?
ยาคุมฉุกเฉินสามารถกินพร้อมกันสองเม็ด โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ต่างกับการกินทีละเม็ด แต่การกินสองเม็ดพร้อมกันอาจจะก่อให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียนมากกว่าการกินทีละเม็ด
3. กินยาคุมฉุกเฉินบ่อยอันตรายหรือไม่?
การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ ทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก และนอกจากนั้น การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์น้อยลง และประจำเดือนมาไม่ปกติ
4. กินยาคุมฉุกเฉินเม็ดที่ 2 ช้า มีผลอะไรหรือไม่?
ไม่มีผลหากกินช้าไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่หากกินหลังจากนั้นแล้ว ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมฉุกเฉินจะน้อยลง หากเกิน 24 ชั่วโมง แต่ยังไม่เกิน 120 ชั่วโมง ให้ซื้อยาคุมฉุกเฉินมาใหม่อีกแผงหนึ่ง แล้วกิน 2 เม็ดภายในครั้งเดียว
✅ ตรวจสอบข้อมูลโดย
แหล่งข้อมูล