เผยแพร่: 8 ก.ย. 2564 15:11 ปรับปรุง: 8 ก.ย. 2564 15:11 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
Credit Clip : TRTWORLD ,Money Talks
รายงานฉบับใหม่โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกระบุว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดบ่อยขึ้น 5 เท่า คร่าชีวิตประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน และทำเศรษฐกิจโลกเสียหายมากกว่า 100 ล้านล้านบาท
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผยแพร่รายงานฉบับใหม่เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการวิเคราะห์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ว่าผลจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศของโลกประมาณ 11,000 เหตุการณ์ ในรอบ 50 ปี นับย้อนหลังตั้งแต่ปี1970 ถึง 2019 (พ.ศ. 2513-2562) ซึ่งรวมถึงวิกฤตภัยแล้งในเอธิโอเปีย เมื่อปี 1983 (พ.ศ.2526) ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนมากกว่า 330,000 ราย และพายุเฮอริเคน "แคทรีนา" ที่ถล่มสหรัฐ เมื่อปี 2005 (พ.ศ.2548)
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีสาเหตุมาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งด้านความถี่ที่เกิดขึ้น และระดับของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า
จากระยะเวลาช่วงเริ่มต้นของฐานข้อมูล คือปี 2513 มาจนถึงช่วงทศวรรษปัจจุบัน ซึ่งความถี่ของการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติแปรสัมพันธ์กับภาวะโลกร้อน
ขณะเดียวกัน การที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีความรุนแรงและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 175,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 5.67 ล้านล้านบาท ) ในช่วงเวลาเริ่มต้นของฐานข้อมูล เป็น 1.38 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐ ( ราว 44.65 ล้านล้านบาท ) ในช่วงทศวรรษล่าสุดนับตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากสหรัฐเผชิญกับอิทธิพลของเฮอริเคนหลายลูก
ทั้งนี้ บทเรียนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง "ล้วนมีราคาแพง" ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 3.64
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 117.68 ล้านล้านบาท ) ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา แต่ทำให้มนุษย์เพิ่มการศึกษา มีการรับมือและการแก้ไขสถานการณ์ที่ดีขึ้น เห็นได้จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดลง จากเฉลี่ยปีละมากกว่า 50,000 ราย ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ ลงมาอยู่ที่ประมาณ 18,000 รายต่อปี
อย่างไรก็ตาม รายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกทิ้งท้ายว่า ประเทศที่ยากจนและกำลังพัฒนายังคงต้องการความสนับสนุนด้านระบบเตือนภัยสภาพอากาศ เนื่องจากมีเพียงสมาชิกดับเบิลยูเอ็มโอเพียงครึ่งเดียว จากทั้งหมด 193 ประเทศ ที่มีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ และ 91% จากจำนวน 2 ล้านรายของผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติบนโลกตลอด 50 ปีที่ผ่านมา อาศัยอยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ข้อมูลอ้างอิง
//www.npr.org/2021/09/07/1034607602/weather-disasters-have-become-five-times-as-common-thanks-in-part-to-climate-cha
//www.voanews.com/usa/un-study-weather-disasters-increased-fivefold-last-50-years
ในสัปดาห์นี้เราได้เห็นข่าวเศร้าชนิดรายวัน หลังหลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับภัยทางธรรมชาติอย่างหนักหน่วง ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นก็มีสาเหตุมาจากภาวะโลกรวนที่ทำให้เกิดสภาพอากาศรุนแรงหนักขึ้นและถี่ขึ้น
เริ่มต้นจากปากีสถานที่สถานการณ์น้ำท่วมยังคงลากยาวมาจนถึงตอนนี้ โดยล่าสุดนั้นมีความเสี่ยงที่น้ำในทะเลสาบใหญ่ที่สุดของประเทศจะล้นทะลักออกมา ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์น้ำท่วมในหลายเมืองเลวร้ายลงไปกว่าเดิม แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามเร่งระบายน้ำในทะเลสาบแล้ว แต่ระดับน้ำยังคงสูงมากจนน่ากังวล จนตอนนี้ทีมกู้ภัยได้เร่งอพยพประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว
นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงวานนี้ (6 กันยายน) มีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมแล้วถึง 1,325 คน โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กกว่า 466 คน และคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ขณะตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่กว่า 12,000 คน ส่วนบ้านเรือนได้รับความเสียหายถึง 1.6 ล้านหลัง สำหรับการประเมินความเสียหายเบื้องต้นนั้นอยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3.6 แสนล้านบาท
ด้านอินเดียก็กำลังเผชิญกับเหตุน้ำท่วมในเมืองบังกาลอร์ ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีแห่งสำคัญที่เปรียบเหมือนกับซิลิคอนแวลลีย์ของอินเดีย โดยฝนที่ตกหนัก 28.1 มิลลิเมตร หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 368% ตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 กันยายน) ทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ขณะมีต้นไม้หักโค่นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การจราจรในพื้นเป็นอัมพาต รถหลายคันจมเสียหายอยู่ใต้น้ำขัง หลายบริษัทต้องขอให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบกับภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ขณะตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่อย่างน้อย 1 ราย โดยกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าคาดว่าจะมีฝนตกในบังกาลอร์จนถึงวันศุกร์นี้ (9 กันยายน)
ชาด ประเทศในแอฟริกากลาง ก็กำลังต่อสู้กับเหตุน้ำท่วมใหญ่เช่นกัน หลังเจอกับฝนตกหนักสุดในรอบกว่า 30 ปีตั้งแต่ช่วงเดือนกลางเดือนมิถุนายน ส่งผลให้กรุงเอ็นจาเมนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจมอยู่ใต้บาดาล หลายพื้นที่น้ำท่วมขังสูงมากจนกลายเป็นว่าตอนนี้ต้องใช้เรือในการเดินทางเท่านั้น ขณะประชาชนนับพันคนต้องอพยพย้ายไปอาศัยในสถานพักพิงชั่วคราว เนื่องจากบ้านถูกน้ำท่วมพังเสียหาย โดยมีประชาชนกว่า 442,000 คนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนผู้เสียชีวิตจากฝนที่ตกหนักตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 22 ราย
เกาหลีใต้ก็เพิ่งเผชิญกับไต้ฝุ่นหินหนามหน่อเมื่อช่วงคืนวันที่ 5 กันยายน โดยมีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงสูง ทำให้ทางการต้องอพยพประชาชนหลายพันคนจากพื้นที่เสี่ยงภัย และถึงแม้พายุจะเคลื่อนตัวออกไปแล้วในวันที่ 6 กันยายน แต่ไต้ฝุ่นลูกนี้ได้ทิ้งความเสียหายไว้อย่างมาก อิทธิพลพายุส่งผลให้เกิดฝนตกและน้ำท่วมหนัก เกิดเหตุดินถล่ม อีกทั้งยังมีไฟฟ้าดับหลายจุด รวมถึงเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดกระหน่ำชายฝั่ง จนทำให้ถนนและร้านค้าได้รับความเสียหาย เรือโดยสารใน 50 เส้นทางต้องยกเลิกให้บริการ เช่นเดียวกับเที่ยวบินกว่า 250 เที่ยวใน 12 สนามบินทั่วประเทศที่ยกเลิกให้บริการ ขณะที่ขบวนรถไฟโดยสาร 354 เส้นทางต้องระงับหรือเลื่อนให้บริการ โดยยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่อย่างน้อย 10 ราย และสูญหาย 2 ราย ขณะที่ประธานาธิบดียุนซอกยอลเตรียมเสนองบประมาณ 6.1 ล้านล้านวอนสำหรับปีงบฯ 2023 เพื่อนำมารับมือกับภัยทางธรรมชาติที่มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้นจากปัญหาโลกรวน หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคม เกาหลีใต้ก็เพิ่งเผชิญกับเหตุน้ำท่วมใหญ่ในกรุงโซล ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะโลกรวนที่ทำให้ฝนตกหนักผิดปกติ
ปิดท้ายด้วยจีนที่เพิ่งเจอกับเหตุแผ่นดินไหวไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันจันทร์ (5 กันยายน) โดยมณฑลเสฉวนเผชิญกับแผ่นดินไหวแมกนิจูด 6.8 รุนแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2017 ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีกหลายครั้ง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 74 คน บาดเจ็บ 259 คน และมีผู้สูญหายอีก 26 คน ขณะบ้านเรือนและอาคารพังเสียหายหลายหลัง เกิดไฟดับในหลายพื้นที่
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
อ้างอิง:
- //www.reuters.com/world/india/water-recedes-parts-indias-bengaluru-residents-venture-out-2022-09-07/
- //www.bbc.com/news/world-asia-62764224
- //edition.cnn.com/2022/09/05/asia/pakistan-floods-lake-manchar-intl-hnk/index.html
- //www.reuters.com/world/china/china-clears-roads-earthquake-epicentre-death-toll-rises-72-2022-09-07/
- //news.un.org/en/story/2022/08/1125562
TAGS: