เหตุการณ์สมมติ
ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
นาย เอ : เพิ่งย้ายคอนโด ควรซื้อเครื่องครัวอะไรบ้าง?
นางสาว บี : ทำอาหารกินเองบ่อยรึเปล่า หรือว่าแค่ซื้อมาอุ่นอาหาร
นาย เอ : อืมมม ไม่แน่ใจเท่าไร เอาอะไรที่ต้องใช้บ่อย ๆ ก่อนละกัน
นางสาว บี : งั้นดูว่าเครื่องไหนไม่กินไฟด้วยก็ดีนะ
เซฟไทยเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนต้องเคยเจอจากเหตุการณ์สมมติข้างต้น ที่พอจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เกิดความลังเลว่าอันไหนที่จะคุ้มค่ากว่ากัน อันไหนกินไฟมากกว่า อันไหนราคาสูงกว่า และปัจจัยอื่นอีกมากมาย
บทความนี้เซฟไทยจึงอยากมาแชร์ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวกินไฟกันแค่ไหน?
มาดูกันเลย!
1. เครื่องชงกาแฟ 200 – 600 วัตต์
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีติดบ้านแน่นอน เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในตอนเช้าของใครหลาย ๆ คน ยิ่งบ้านไหนอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ก็ยิ่งจำเป็นเลยทีเดียว
เพราะเครื่องชงกาแฟอัตโนมัตินั้นช่วยอำนวยความสะดวกในช่วงเช้าที่รีบร้อนได้เป็นอย่างดี
2. เตาไมโครเวฟ 100 – 1,000 วัตต์
เครื่องใช้ไฟฟ้าสามัญประจำบ้าน ประโยช์มากมาย ไม่ว่าจะอุ่นอาหารแช่แข็ง หรือละลายน้ำแข็งของวัตถุดิบเพื่อนำไปประกอบอาหาร
3. เตาหุงต้มไฟฟ้า 200 – 1,500 วัตต์
บางบ้านเลือกใช้แก๊สหุงต้ม ในขณะที่บางบ้านก็เลือกใช้เตาหุงต้มไฟฟ้าเพื่อความสะดวกไม่ต้องกลัวแก๊สหมดเหมือนกัน ซึ่งก็มีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันไป
เพราะเตาหุงต้มไฟฟ้านั้นหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าแทน
4. ตู้เย็น 70 – 145 วัตต์
เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพราะต้องคอยรักษาความเย็นให้ทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง หรือแม้แต่ขนมหวานที่ต้องการความเย็นอย่างไอศกรีม ถึงวัตต์จะไม่สูงมาก แต่การใช้งานตลอดเวลา ทำให้กินไฟได้ไม่น้อยเลย
5. หม้อหุงข้าว 450 – 1,500 วัตต์
ถึงแม้ว่าแต่ละบ้านจะมีสูตรการหุงข้าวที่แตกต่างกันไป บางคนชอบข้าวร่วน บางคนชอบข้าวแฉะ บางคนกินข้าวผสม
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการใช้หม้อหุงข้าวเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกนั่นเอง
6. กาต้มน้ำร้อน 500 – 750 วัตต์
เครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกยอดฮิตเพราะทำได้ทั้ง ชงเครื่องดื่มร้อน หรือเอามาต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน
7. เครื่องปิ้งขนมปัง 800 – 1,000 วัตต์
ไว้ปิ้งขนมปังกินคู่กาแฟยามเช้าก็ดีไม่ใช่น้อย บางบ้านอาจใช้การจี่ขนมปังกับกระทะก็ได้เช่นกัน หรือที่อยากได้ความสะดวกก็สามารถซื้อเครื่องปิ้งขนมปังติดบ้านไว้ก็ได้เช่นกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อน
ๆ คนไหนที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นไหนดี
เซฟไทยก็ขอแนะนำให้ชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่ต้องได้กับสิ่งที่ต้องจ่ายไปนะครับ
เช่น ถ้าบ้านเพื่อน ๆ มีสมาชิกจำนวนมากที่ดื่มกาแฟ การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟอาจคุ้มค่ากว่าการซื้อกาต้มน้ำร้อนนะครับ
ที่มา : กระทรวงพลังงาน
ที่มา : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)
ด้วยสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านกันมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากเครื่องอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม หม้อหุงข้าว และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนต้องใช้ไฟฟ้าในการใช้งานแทบทั้งสิ้น ยิ่งมีการใช้งานมากก็ทำให้ต้องเสียค่าไฟฟ้ามากขึ้น หากคุณต้องการประหยัดค่าไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ชนิดกินไฟมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้วางแผนการใช้งานให้มีความเหมาะสมถูกต้อง เราจึงนำวิธีการคำนวณค่าไฟง่ายๆ และวิธีการประหยัดไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ มาฝากให้คุณนำไปใช้บอกลาค่าไฟแพงๆ กัน
วิธีดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟเท่าไร
การดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟเท่าไหร่นั้น สามารถสังเกตได้จากจำนวนวัตต์ (Watt) ที่ระบุอยู่ในคู่มือหรือติดอยู่ที่ตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นๆ เช่น หากระบุว่า 1,000 W ก็หมายความว่า เมื่อใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้า 1,000 วัตต์ ส่วนจะคิดเป็นค่าไฟเท่าไหร่นั้นสามารถคำนวณได้ดังนี้
ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมง (บาท) = (จำนวนวัตต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้า x ค่าไฟต่อยูนิต)/1000
ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมง (บาท) = (1,000 W X 3.9* )/ 1,000
ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมง (บาท) = 3.9
ดังนั้น หากใช้ไฟฟ้าต่อเนื่องติดต่อกัน 1 ชั่วโมง จะต้องเสียค่าไฟฟ้าชั่วโมงละ 3.9 บาท
*ราคาค่าไฟต่อยูนิตจะขึ้นอยู่กับไฟฟ้าที่เราใช้บริการและอัตราการคิดจะมีความแตกต่างกันซึ่งยังไม่รวมค่าบริการอื่น
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มักจะใช้งานอยู่เป็นประจำ
1.เครื่องปรับอากาศ
เครื่องปรับอากาศ จะกินไฟอยู่ที่ 1,200-3,300 วัตต์ แล้วแต่ขนาดที่เลือกใช้ คิดเป็นค่าไฟประมาณ ชั่วโมงละ 5-13 บาท เคล็ดลับที่จะช่วยประหยัดไฟคือ ควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดเหมาะสมกับห้อง ไม่ติดตั้งใกล้วัตถุไวไฟ ขณะใช้งานควรปิดหน้าต่างให้มิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นรั่วไหลจนทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก ติดตั้งผ้าม่านเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอก และควรตั้งอุณหภูมิไม่ต่ำจนเกินไป หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากอากาศไม่ร้อนมากก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้งาน ไม่ใช้ก็ไม่ต้องเปลืองไฟนั่นเอง
2. หม้อหุงข้าว
หม้อหุงข้าว เป็นของคู่บ้านที่มีกันแทบทุกบ้านอย่างขาดไม่ได้ ซึ่งจะกินไฟประมาณ 450 – 1,500 วัตต์ คิดเป็นค่าไฟประมาณ ชั่วโมงละ 2 – 6 บาท วิธีที่จะช่วยประหยัดไฟฟ้าก็คือ ควรเลือกขนาดหม้อหุงข้าว ให้พอดีกับคนในครอบครัว หุงข้าวในปริมาณที่เพียงพอต่อการกินในแต่ละมื้อ โดยไม่หุงเกินความจำเป็น หลังจากหุงข้าวเสร็จทุกครั้งควรถอดปลั๊กไฟ และตรวจสอบแท่นความร้อนที่อยู่ภายในหม้อให้อยู่ในสภาพใช้งาน หมั่นทำความสะอาดไม่ให้มีข้าวเกาะเพราะจะทำให้ข้าวสุกช้า ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลืองไฟมากขึ้น
3.เตาไมโครเวฟ
เตาไมโครเวฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความสำคัญกับคนยุคใหม่ไม่น้อย นิยมใช้สำหรับอุ่นอาหารเพราะใช้งานได้สะดวก และรวดเร็ว โดยจะกินไฟประมาณ 100 – 1,000 วัตต์ คิดเป็นค่าไฟประมาณ ชั่วโมงละ 0.4 – 4 บาท เคล็ดลับที่จะช่วยประหยัดไฟ คือ การกำหนดความร้อนให้มีความเหมาะสมกับอาหารที่ต้องการอุ่น เลือกภาชนะก้นแบนหรือภาชนะที่แถมมากับเครื่องเพราะสามารถรับความร้อนได้ดีกว่า เลือกใช้เวลาให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิด – ปิดฝาบ่อยๆ หมั่นทำความสะอาด และหลังการใช้งานทุกครั้งควรถอดปลั๊กให้เรียบร้อย
4.เครื่องดูดฝุ่น
เครื่องดูดฝุ่น จะกินไฟอยู่ที่ 750-1,200 วัตต์ คิดเป็นค่าไฟประมาณ ชั่วโมงละ 3 – 5 บาท เพื่อให้เครื่องทำงานได้มีประสิทธิภาพและกินไฟน้อยลงควรเทฝุ่นออกทุกครั้ง และไม่ควรใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะจะทำให้เครื่องร้อนเกินไปจนอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ และอย่าลืมตรวจสอบเต้าเสียบไม่ให้เกิดการชำรุดเสียหาย ถอดปลั๊กทุกครั้งหลังการใช้งาน ก็จะช่วยประหยัดไฟเพิ่มขึ้น
5.เครื่องซักผ้า
เครื่องซักผ้า คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็น จึงทำให้มีการพัฒนาเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่มีเครื่องอบผ้าที่จะกินไฟฟ้ามากเป็นพิเศษ ประมาณ 3,000 วัตต์ คิดเป็นค่าไฟประมาณ ชั่วโมงละ 12 บาท เคล็ดลับที่จะช่วยประหยัดไฟก็คือ ควรปฏิบัติตามคู่มือ ใส่จำนวนเสื้อผ้าให้มีความเหมาะสมกับตัวเครื่อง ไม่มากหรือน้อยไป และหากมีแค่ 1 – 2 ชิ้น ควรซักด้วยมือแทน หมั่นตรวจสอบปลั๊กไฟ และตัวเครื่องให้อยู่ในสภาพดี และถอดปลั๊กทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จเรียบร้อย
ผ่านไปแล้วกับวิธีการคำนวณค่าไฟและวิธีการประหยัดไฟฟ้าในเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ โดยเฉพาะการคำนวณค่าไฟ ที่สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ต้องรู้ก่อนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นๆใช้ปริมาณไฟเท่าไหร่ และไฟฟ้าที่คุณใช้บริการ มีการคิดอัตราค่าไฟฟ้าต่อ ยูนิต หรือที่เรามักจะเรียกกันง่ายๆ ว่า หน่วย อย่างไร คิดในราคาเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้คำนวณได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และหากคุณไม่ต้องการเสียค่าไฟฟ้าแพงก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ให้น้อยลง หรือใช้ด้วยความประหยัด เหมาะสม ถูกต้อง เพื่อจะได้เหลือเงินในกระเป๋าให้มากขึ้นนั่นเอง