โรคนี้ได้เพียงแต่จะแสดงอาการ หรือส่งผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถึงแม้จะไม่ใช่โรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความทรมานให้สาวๆ ที่เป็นโรคนี้ได้ไม่น้อย
อาการที่เสี่ยงเป็นช็อกโกแลตซีสต์
- ปวดท้องมากผิดปกติเวลามีประจำเดือน และปวดมากขึ้นๆ ทุกเดือน โดยอาจจะปวดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกรานและตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ รวมถึงการปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือนานกว่า 7 วัน และการมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ
- ประจำเดือนมาถี่ หรือระยะห่างระหว่างที่เป็นประจำเดือนแต่ละรอบสั้นกว่าปกติ คือมีมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง
- ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ อาจเป็นเพราะก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ และไปเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปก
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงมีประจำเดือน
- ถ้าเป็นคนผอมแต่มีพุง ให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง
- ปวดไมเกรนบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงก่อน และระหว่างมีประจำเดือน
- บางรายอาจไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย แต่คลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อยซึ่งอาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้างเนื่องจากถุงน้ำโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่และอยู่ในระยะที่เป็นอันตราย
- บางรายตรวจพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุของการมีบุตรยากเนื่องจากท่อนำไข่ตีบตัน ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งผลพวงที่มีสาเหตุมาจากช็อกโกแลตซีสต์ เพราะเมื่อเยื่อบุนี้ไปเกาะอยู่บนรังไข่ ทำให้รังไข่มีพื้นในการผลิตไข่ และสร้างฮอร์โมนน้อยลง เพราะถูกแทนที่ด้วยช็อกโกแลตซีสต์ไข่ที่ผลิตได้ก็ด้อยคุณภาพ และยังทำให้ท่อรังไข่คดงอ ไข่กับอสุจิที่ผสมกันแล้วจึงผ่านมาฝังตัวได้อย่างไม่สมบูรณ์
หากสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีอาการดังที่กล่าวมานี้ ก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจกำลังป่วยเป็นช็อกโกแลตซีสต์ จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและหาทางจัดการต่อไป ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนลุกลามกลายเป็นระยะที่รุนแรง และสร้างความทุกข์ทรมานให้กับร่างกายอีกต่อไป
ประจำเดือน เกิดจาก เยื่อบุผนังมดลูกหลุดออกหลังจากไข่ตกแล้วแต่ไม่เกิดการผสมกับเชื้อที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ มันจะหลุดลอกออกมาตามธรรมชาติและออกมาในสภาพเป็นเลือด นี่คือ ที่มาของการเกิดประจำเดือนของคุณผู้หญิง ซึ่งจะเกิดขึ้นทุก 28-30 วัน ซึ่งอาจจะเกิดตรงบ้างไม่ตรงบ้างก็แล้วแต่ปัจจัยด้านสุขภาพและอารมณ์ หรือการใช้ยาต่างๆ แต่ในกรณีที่ประจำเดือนไม่มา สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การตั้งครรภ์ และเป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อเกิดการตั้งครรภ์แล้วประจำเดือนก็จะหยุดหายไป ดังนั้นคนที่ประจำเดือนหยุดไม่มาก็ถือได้ว่ามี โอกาสท้อง แม้จะไม่แน่เสมอไปว่าการที่ประจำเดือนไม่มาจะหมายถึงท้อง แต่หากว่าเป็นท้องค่อนข้างแน่นอนว่าประจำเดือนจะไม่มา นี่เป็นเรื่องที่ทราบกันดี แต่... มันก็ยังมีการพบว่า มีเลือดออกแบบประจำเดือนมา แต่กลับมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ! เรื่องนี้เป็นอาการที่หลายคนสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรหรือมันเป็นอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ ?
อาการเลือดออกทั้งๆ ที่มีการตั้งครรภ์ เป็น อาการคนท้อง ที่เกิดขึ้นได้ และเป็นอาการที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ คนโบราณจะเรียกอาการเลือดออกคล้ายประจำเดือนมา (แต่จะมีปริมาณไม่มาก) นี้ว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นก็คือ มีเลือดออกจากช่องคลอดปริมาณเล็กน้อยพอเปื้อนชุดชั้นใน ไม่ได้ไหลออกมามาก คล้ายๆ กับประจำเดือนมาในวันแรกๆ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าประจำเดือนมา ซึ่งอาจจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 วัน แล้วอาการก็จะหายไป
อาการเลือดออกในช่วงตั้งครรภ์ที่เรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก เกิดจาก การฝังตัวของตัวอ่อนในระยะ Blastocyst ที่เกิดขึ้นในบริเวณเนื้อเยื่อบุมดลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5-7 หลังจากไข่ได้รับการผสมกับเชื้อ การฝังตัวนี้อาจทำให้เกิดการเลือดออกในบริเวณเยื่อบุมดลูกได้ ซึ่งลักษณะนี้เป็นอาการปกติที่พบได้ไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด ดังนั้นสบายใจได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาการเลือดออกในลักษณะนี้ มีเพียงบางรายเท่านั้น
ดังนั้นหากมีเลือดออกเหมือน ประจำเดือนมาแต่ท้อง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ คุณแม่ท่านใดมีอาการนี้ก็อย่าได้ตกใจ ให้ลองใช้เครื่องตรวจการตั้งครรภ์ก็จะทราบผล หากผลออกมาเป็นบวก ก็เริ่มต้นดูแลสุขภาพได้แล้ว ยินด้วย คุณกำลังตั้งครรภ์ ! แต่อย่างไรก็ดี ต้องดูด้วยว่ามีอาการปวดด้วยหรือไม่ เพราะอาการเลือดออกจากการฝังตัวนี้จะไม่เจ็บและเลือดออกเพียงเล็กน้อยแล้วหายไป หากว่ามีอาการปวดท้อง และเลือดออกมา ต้องรีบไปตรวจ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่เป็นอันตรายได้
Share:
เลือดล้างหน้าเด็ก คืออาการที่มีเลือดออกมาจากช่องคลอดแบบกระปริบกระปรอยแต่ไม่ใช่ประจำเดือน เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้น 10-14 วัน หลังจากการปฏิสนธิ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือน
ทั้งนี้ อาการเลือดล้างหน้าเด็กเกิดมาจากการที่ไข่ซึ่งผ่านการผสมกับสเปิร์มแล้ว เคลื่อนไปยึดเกาะฝังตัวที่ผนังมดลูก ทำให้มีเลือดออกมาทางช่องคลอด โดยเลือดที่ออกมาจะมีลักษณะแตกต่างจากประจำเดือนปกติ คือจะมีลักษณะเป็นสีชมพูออกมาในปริมาณเพียงเล็กน้อย หรืออาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย อาการเลือดล้างหน้าเด็กอาจไม่เกิดกับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกคน ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์บางคนอาจไม่เคยมีอาการเลือดล้างหน้าเด็ก หรืออาการที่บ่งบอกว่าตั้งครรภ์เลยก็ได้เป็นได้
เลือดล้างหน้าเด็ก อันตรายไหม ?
เลือดล้างหน้าเด็ก เป็นอาการที่ไม่อันตราย และมีอาการเพียง 1-2 วันเท่านั้น แต่หากมีเลือดออกติดต่อกันเกินกว่า 2 วัน และมีปริมาณกับสีของเลือดผิดปกติ คือเลือดออกมากหรือเลือดเป็นลิ่ม สีของเลือดมีสีแดงสดแทนที่จะเป็นสีชมพูหรือสีน้ำตาลก็ควรปรึกษาแพทย์ เพราะนั่นอาจเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในมดลูก หรือเป็นอาการที่อันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ อาทิ การแท้ง หรือการตั้งครรรภ์นอกมดลูก เป็นต้น
เลือดล้างหน้าเด็กกับประจำเดือน แตกต่างกันอย่างไร ?
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างประจำเดือนกับเลือดล้างหน้าเด็กก็คือปริมาณเลือดที่ออกมาจากช่องคลอด และระยะเวลาที่เป็น เลือดล้างหน้าเด็กจะมีปริมาณเลือดออกมาเพียงเล็กน้อยในลักษณะกระปริบกระปรอย โดยกินเวลาเพียง 1-2 วันเท่านั้น มักมีสีแดงจางกว่า อาจมีการปวดท้องประจำเดือนแต่รุนแรงน้อยกว่า ในขณะที่ประจำเดือนที่ปกติจะมีปริมาณเลือดออกมามากกว่า และระยะเวลาในการเป็นจะกินเวลาไม่เกิน 7 วัน
ทั้งนี้อาการเลือดออกทางช่องคลอดอาจเกิดมาจากสาเหตุอื่นได้ด้วยเช่นกัน โดยสาเหตุที่อาจทำให้เกิดเลือดออกจากช่องคลอดในช่วงตั้งครรภ์ได้แก่
การมีเพศสัมพันธ์
การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง หรือการใช้สิ่งแปลกปลอมสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศขณะที่เพศสัมพันธ์ก็อาจทำให้ภายในช่องคลอดเกิดการฉีกขาดจนทำให้เลือดออกทางช่องคลอดได้ แต่ถ้าหากเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงจนทำให้ความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น และการมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้เช่นกัน
การคุมกำเนิด
การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือการใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย สามารถทำให้เลือดออกทางช่องคลอดได้ โดยเฉพาะการใช้ยาคุมกำเนิดที่ไม่สม่ำเสมออาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้ด้วย
การติดเชื้อหรือการอักเสบของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
การติดเชื้อในบริเวณอุ้งเชิงกรานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอดได้ โดยเฉพาะโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคซิฟิลิส หนองใน หรือกามโรคอื่น ๆ
การทำงานที่ผิดปกติของมดลูกและโรคทางระบบสืบพันธ์
อาทิเช่น โรคกลุ่มอาการรังไข่ที่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS) ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือรอบเดือนมีความผิดปกติ ก็อาจพบเลือดออกจากช่องคลอดได้
การตั้งครรภ์นอกมดลูก
ถือเป็นความผิดปกติที่ค่อนข้างอันตรายทั้งกับแม่และเด็ก ซึ่งภาวะนี้จะก่อให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและมีเลือดออกมามากผิดปกติ ถ้าหากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้
การแท้ง
อาการเลือดออกและปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณอันตรายของภาวะแท้งที่ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ทุกคนควรระมัดระวัง และหากเกิดอาการขึ้นควรรีบพบแพทย์ในทันที
อย่างไรก็ตามหากต้องการความมั่นใจว่าเลือดที่ออกจากช่องคลอดนั้นคืออะไรกันแน่ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด หรือหากคิดว่าเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก ก็สามารถตรวจเบื้องต้นโดยการใช้ที่ตรวจการตั้งครรภ์ ทั้งนี้หากพบสาเหตุเร็วก็สามารถวางแผนการดูแลตัวเองหรือรับการรักษาต่อไป