เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการทดสอบ O-NET ของน้อง ๆ ชั้น ม.6 ทั้ง 5 วิชา ได้แก่ สังคมศึกษาฯ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิชาภาษาไทย และวิทยาศาสตร์ โดยทั้ง 2 วันของการสอบนั้นก็มีน้อง ๆ หลายคนที่เข้าสอบในวิชาแรกไม่ทัน หรือไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้
ขาดสอบ O-NET ต้องทำอย่างไร?
และน้อง ๆ เหล่านี้จะมีโอกาสขอสอบใหม่ได้หรือไม่ และจะต้องทำอย่างไรบ้างในการยื่นขอสอบใหม่กับทางสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ตามมาดูรายละเอียดน่ารู้กันได้เลย…
ทั้งนี้ การทดสอบโอเน็ต (O-NET) เป็นการทดสอบทางการศึกษาในระดับชาติขั้นพื้นฐาน ที่น้อง ๆ ทุกคนจะต้องเข้าสอบให้ครบทุกวิชา และไม่สามารถขาดสอบได้ (หากไม่มีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ) เพราะน้อง ๆ มีโอกาสในการสอบโอเน็ตกันเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ในระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ซึ่งสำหรับน้อง ๆ ม.6 ผลคะแนนสอบโอเน็ตมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการใช้สมัครสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
และในเมื่อเรามีความจำเป็นที่จะต้องขาดสอบจริง ๆ ต้องทำอย่างไร? โดยในปีที่ผ่านมาทาง สทศ. ก็ได้มีการกำหนดให้มีการจัดสอบรอบพิเศษกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยในการเข้าสอบของน้อง ๆ ม.6 ได้ ซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้
เหตุสุดวิสัย คืออะไร?
เหตุสุดวิสัย หมายถึง เหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันโดยไม่มีบุคคลใดคาดหมายหรือคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่อาจป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไปให้พ้นได้ ถึงแม้ว่าตนเองจะได้ใช้ความระมัดระวังแล้วก็ตาม ซึ่งมีผลทำให้เราไม่สามารถเข้าสอบ O-NET ในช่วงเวลาที่ทำการทดสอบได้ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่
1. เหตุสุดวิสัยที่เกิดกับตัวนักเรียนเอง เช่น ความเจ็บป่วย การประสบอุบัติเหตุที่ต้องเข้ารับการรักษาไม่สามารถเดินทางมาสอบตามกำหนดการได้ ฯลฯ
2. เหตุสุดวิสัยที่เกิดจากปัจจัยภายนอกแล้วส่งผลต่อตัวนักเรียน เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด เหตุฉุกเฉินอันเกิดแก่บิดา-มารดา แล้วทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้ตามช่วงวันและเวลาที่กําหนด ฯลฯ
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครสอบ O-NET รอบพิเศษ
1. ต้องเป็นนักเรียนชั้น ม.6 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบในช่วงวันและเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้ของปีนั้น ๆ ที่น้อง ๆ ต้องเข้าสอบ เช่น วันที่ 2-3 มีนาคม 2562 เป็นต้น
2. เป็นนักเรียนเทียบเท่าชั้น ม.6 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบตามวันและเวลาที่กําหนดเอาไว้
3. เป็นนักเรียนชั้น ม.6 ที่โรงเรียนไม่ได้ส่งข้อมูลเข้าสอบ ในกรณีนี้นักเรียนต้องส่งหนังสือรับรองจากโรงเรียนว่าไม่ได้ส่งรายชื่อเข้าสอบจริงมาให้กับทาง สทศ. ด้วย
วิธีการขอสมัครสอบใหม่
น้อง ๆ จะต้องมาสมัครขอสอบใหม่ด้วยตัวเองที่ สทศ. หรือส่งมายังทางไปรษณีย์โดยใช้วิธีการส่งแบบ EMS เท่านั้น
เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นคําร้อง
กรณีที่ 1 เหตุสุดวิสัยที่เกิดกับตัวนักเรียนเอง เช่น ความเจ็บป่วย การประสบอุบัติเหตุที่ต้องเข้ารับการรักษา ต้องใช้เอกสารและหลักฐาน ดังนี้
1. ใบคําร้องขอสอบ O-NET รอบพิเศษสําหรับผู้เกิดเหตุสุดวิสัย
2. สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมเขียนรับรองสําเนาถูกต้อง
3. หนังสือรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่สังกัด ในการรับรองว่านักเรียนได้ประสบเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้
4. หลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล และแพทย์ผู้รักษา ได้มีความเห็นและรับรองว่ามีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นในระหว่างวันและเวลาที่มีการสอบจําเป็นต้องเข้ารับการรักษาหรือพักรักษาตัว ทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้ หรือหลักฐานอื่นที่แสดงเหตุสุดวิสัย
** จะพิจารณาเฉพาะผู้ที่ส่งเอกสารครบถ้วนเท่านั้น
กรณีที่ 2 เหตุสุดวิสัยที่เกิดจากปัจจัยภายนอกแล้วส่งผลต่อตัวนักเรียน เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด เหตุฉุกเฉินอันเกิดแก่บิดา-มารดาแล้วทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้ในช่วงวันและเวลาที่กําหนดเอาไว้ได้ มีรายละเอียดดังนี้
1. ใบคําร้องขอสอบ O-NET รอบพิเศษสําหรับผู้เกิดเหตุสุดวิสัย
2. สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมเขียนรับรองสําเนาถูกต้อง
3. หนังสือรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่สังกัด ในการรับรองว่านักเรียนได้ประสบเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้
4. หลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล และแพทย์ผู้รักษา ได้มีความเห็นและรับรองว่ามีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นในระหว่างวันและเวลาที่มีการสอบจําเป็นต้องเข้ารับการรักษาหรือพักรักษาตัว ทําให้ไม่สามารถเข้าสอบได้ หรือหลักฐานอื่นที่แสดงเหตุสุดวิสัย
ยื่นสอบใหม่มีค่าธรรมการสมัครสอบ
นอกจากน้อง ๆ จะต้องทำการยื่นเอกสารขอสอบใหม่แล้ว น้อง ๆ ก็ยังจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบใหม่ด้วย โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมในการสมัครสอบอยู่ที่ประมาณ ชุดวิชาละ 100 บาท และหากสมัครผ่านทางไปรษณีย์ให้ชําระค่าสมัครโดยใช้ธนาณัติ
ชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์
ชมรมครูสังกัดกรุงเทพมหานครออนไลน์ เคยแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ยกเลิกการสอบโอเน็ต เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า หากมีการยกเลิกการสอบโอเน็ต การจัดการเรียนการสอนจะกลับคืนสู่ภาวะที่เป็นปกติ แม้จะมีบริบทแวดล้อมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาอันคอยสอดแทรกการดำเนินการจัดกระบวนการเรียนการสอนอยู่เป็นประจำก็ตาม
แต่ก็ยังคงส่งผลให้ครูได้ทำการสอน นักเรียนได้ทำการเรียน ตามกระบวนการที่ควรจะเป็น ไม่กังวลกับการวัดและประเมินผลในระดับชาติมากจนเกินไป จนส่งผลต่อเนื่องให้เกิดมหกรรมการติวข้อสอบ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นความผิดปกติ เพราะขาดความสอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียน อันเป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลให้เกิดการบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาของชาติได้
หากยังคงมีการจัดมหกรรมการติวข้อสอบโอเน็ตเหมือนในหลายๆ ปีที่ผ่านมา โดยที่เด็กๆ ไม่ได้ผ่านกระบวนการทางการเรียน เพื่อการลงมือคิด ลงมือกระทำ และลงมือแสดงออกในลักษณะใดๆ มากนัก อาจจะเรียกได้ว่า “จะไม่เกิดภาวะการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง”
แท้จริงแล้ว เราจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการ เจตคติ รวมทั้งคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม แต่เรากำลังให้น้ำหนักกับสิ่งใดมากจนเกินไปหรือไม่ เนื่องจากยังคงมีอยู่หรือไม่ว่า มีการนำผลคะแนนโอเน็ตมาตัดสินเด็กๆ ตัดสินโรงเรียน จัดอันดับเด็กๆ และจัดอันดับของโรงเรียน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโรงเรียนใดๆ หรือไม่ ที่ยังคงมีวัฒนธรรมที่คอยยกย่องผลคะแนนของโอเน็ตที่เกิดจากมหกรรมการติวข้อสอบ ยังมีความเข้าใจในปรัชญาการศึกษาที่ผิดเพี้ยนไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมทำให้ทิศทางของการจัดการศึกษาในระดับต่างๆ จะเป็นไปในทิศทางที่ผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญอย่างแน่นอน
ดังนั้น จึงอยากให้ผู้บริหารการศึกษาในระดับต่างๆ ได้คิดใหม่ ซึ่งถ้าหากไม่ติดเงื่อนไขความนิยมในทางการเมืองของฝ่ายใด ตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
อนึ่ง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก "ตรีนุช เทียนทอง" เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 หัวข้อเรื่อง "เรามีการสอบ O-NET ไปเพื่ออะไร?" มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
"จากการลงพื้นที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดิฉันพบว่า ยังมีอยู่หลายโรงเรียนที่ยังคงจัดให้มีการติวนักเรียนเพื่อเข้ารับการสอบ O-NET ซึ่งจะมีขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ และได้ทราบว่า บางเขตพื้นที่ฯ ได้มีการนำผลการทดสอบ O-NET ของแต่ละโรงเรียนในสังกัด มาจัดอันดับเพื่อแข่งขันกัน จนส่งผลให้เกิดความกดดันและความเครียดแก่นักเรียน ซึ่งจะต้องมาเรียนเสริมและสอบให้ได้คะแนนที่สูงขึ้น
ในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดิฉัน #ไม่เห็นด้วย ที่แต่ละโรงเรียนจะยังคงจัดให้มีการสอนเสริม (ติว) เพื่อให้นักเรียนต้องเข้ารับการสอบ O-NET โดยไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของนักเรียนเอง ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่า
1.หลักในการจัดการทดสอบใด ๆ ก็ตาม ควรเป็นไปเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความถนัดและความสามารถของผู้เรียนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #กระบวนการหรือวิธีคิด (methodology) มิใช่ การกวดขันเพื่อท่องจำและนำไปใช้แค่ในการสอบครั้งหนึ่ง ๆ
2.ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กว่า 2 ปีที่ผ่านมา ดิฉันตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เพื่อนครูเป็นห่วงถึงผลการทดสอบ O-NET รอบนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการเรียนการสอน ที่ไม่สามารถมาเรียนในรูปแบบ On-site ได้อย่างเต็มที่ จึงส่งผลกระทบให้นักเรียนบางส่วนเกิดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ที่ขาดความต่อเนื่อง หรือมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อเทียบกับการเรียนการสอนในสถานการณ์ปกติ
3.จากเหตุผลในข้อ 2. ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นักเรียนทุกคนต้องเผชิญกับภาวะเครียดและแรงกดดันจากการจัดการเรียนสอนในช่วงเวลาที่ผ่านมาอยู่พอสมควรแล้ว
ดังนั้น จึงอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านได้เข้าใจตรงกันว่า ผลการทดสอบ O-NET นั้น เป็นเพียงแค่ตัวชี้วัดหนึ่งที่บ่งบอกถึงองค์ความรู้ที่ใช้ในการสอบของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งโรงเรียนหรือหน่วยงานทางการศึกษาสามารถนำผลการทดสอบนี้ไปใช้วางแผนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้นได้ #ไม่ใช่การทดสอบเพื่อแข่งขันหรือวัดความเป็นเลิศของนักเรียนหรือโรงเรียนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ขอให้ทุกโรงเรียนได้ดำเนินการตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่อง "ยกเลิกการใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนที่จบการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551" ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นมา อย่างเคร่งครัด และขอยืนยันอีกครั้งว่า กระทรวงฯจะไม่นำผล O-NET มาเป็นเกณฑ์พิจารณาในการเลื่อนขั้นเงินเดือนของครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่อย่างใดค่ะ