RECOMMENDED ARTICLES
ขนมโค
มิกซ์นัทบาร์
อั่ว ศิลปะอาหารยัดไส้ของครัวล้านนา
โรลครีมชีสลูกตาล
Rare Tea Co. ธุรกิจชาที่ดีต่อทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
ซุปบรอกโคลีกะหล่ำดอก
เครปครีมมอคคา
โทสต์ไข่ดาว
อย่างที่รู้กันว่าหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของตับก็คือการกรองและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาระที่หนักหนาและน่ากังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถนี้ของตับจะค่อย ๆ แย่ลงตามอายุการใช้งาน จนในบางครั้งตับก็ไม่สามารถกรองสารพิษออกได้หมดจนหลงเหลือเป็นสารพิษที่สะสมในร่างกาย
อย่างไรก็ตามยังมีวิธีที่จะช่วยตับในการล้างสารพิษ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวิธีง่าย ๆ แต่กลับช่วยลดภาระการทำงานของตับได้อย่างเห็นผล โดยวิธีการที่ว่ามีดังนี้
1. ดื่มน้ำให้มากขึ้น การดื่มน้ำถือเป็นตัวช่วยล้างสารพิษในตับที่ทำได้ง่ายและได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่ง โดยน้ำจะเป็นตัวช่วยเร่งกระบวนการล้างสารพิษของตับ ด้วยการพัดพาสารพิษผ่านระบบต่าง ๆ จนมันออกไปจากร่างกายของเรา ซึ่งปริมาณน้ำที่แนะนำให้ดื่มคือ 4 ลิตรต่อวัน และแน่นอนว่าควรจะเป็นน้ำเปล่าถึงจะดีกับร่างกายมากที่สุด
2. ได้เวลาเรียกเหงื่อ มีงานวิจัยระบุว่า “เหงื่อ” นั้นมีประโยชน์ในการช่วยขับสารพิษหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็น สารหนู, แคดเมียม, ตะกั่ว, ปรอท รวมถึงแอลกอฮอล์ก็สามารถถูกขับออกจากร่างกายพร้อมกับเหงื่อได้ ที่สำคัญเหงื่อที่เกิดจากการออกกำลังกายจะช่วยขับสารพิษได้มากกว่าเหงื่อที่เกิดจากอากาศร้อน โดยการออกกำลังกายที่แนะนำนั้น ได้แก่ การวิ่งจ็อกกิ้ง โยคะร้อน และการอบซาวน่า ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ช่วยเรียกเหงื่อได้ดี
ทั้งนี้เมื่อเราขับเหงื่อออกมาจำนวนมากแล้ว ควรรีบเช็ดเหงื่อออกโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารพิษเหล่านี้กลับเข้าไปนั่นเอง
อาหารล้างพิษกาย ช่วยสุขภาพดี เดี๋ยวนี้ร่างกายของเราได้รับสารพิษเข้ามาสะสมในร่างกายได้หลากหลายทางจนทำให้ป่วยง่าย ร่างกายไม่แข็งแรง แล้วเจ้าสารพิษนี้มาจากไหนได้บ้างนะ หลักๆ มาจากปัจจัยเหล่านี้ เช่น อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ สารเคมีตกค้างในผักผลไม้ พิษ จากบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อนุมูลอิสระในอาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม การรับประทานอาหารมากเกินไปหรืออาหารที่ก่อพิษ เช่น แป้งขัดขาว อาหารหวานจัด มันจัด อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตซับซ้อน เช่น ไส้กรอก แฮม ชีส รวมถึงเนื้อแดงต่าง ๆ ฯลฯ
ส่วนสารพิษที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย เช่น อนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นเพราะภาวะความเครียด สารพิษจากเชื้อโรคบางชนิด หรือระบบการย่อยและดูดซึมอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดของเสียที่หมักหมมแล้วเกิดเป็นพิษ เป็นต้น ถึงแม้สารพิษจะเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางตามที่กล่าวมา แต่ร่างกายเราก็มีอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ขจัดสารพิษเหล่านั้นออกไปตามธรรมชาติ เช่น ตับทำหน้าที่ขจัดของเสียจากอาหารที่รับประทานเข้าไปปอดช่วยฟอกอากาศจากการหายใจ ผิวหนังช่วยขับของเสียออกทางเหงื่อ ลำไส้ใหญ่ช่วยขับถ่ายของเสียในลำไส้ หากระบบเหล่านี้ปกติ ร่างกายจะแข็งแรง แต่ถ้าส่วนที่กำจัดพิษเหล่านี้เริ่มรวน หรือปริมาณสารพิษที่รับในแต่ละวันนั้นเกิดสะสมในอัตราสูงกว่าจะกำจัดออกได้ทัน มันก็จะเริ่มส่งผลเสียต่อร่างกายและแสดงอาการออกมาให้เห็น เมื่อเกิดสภาวะดังกล่าว “การล้างพิษ” จึงถือเป็นทางออกที่ดีอย่างหนึ่งซึ่งโดยทั่วไปแล้ววิธีล้างพิษมีอยู่หลายทาง เช่น การสวนล้างลำไส้ การอบซาวน่า การนวด การออกกำลังกาย การใช้ยาสมุนไพรหรือน้ำเอนไซม์ เป็นต้น
นอกจากล้างพิษภายนอกแล้ว การเลือกรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะพิษส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ในขณะเดียวกันหากรู้จักเลือกอาหารที่ดีเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกไปเองอย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน โดยอาจเริ่มจากงดอาหารกลุ่มเสี่ยงที่กล่าวไว้เบื้องต้น ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน และวันไหนที่ต้องการล้างพิษก็ควรจำกัดพลังงานอาหารให้ไม่เกิน 800 กิโลแคลอรีต่อวันเพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พักผ่อน แล้วเลือกใช้วัตถุดิบที่มีสรรพคุณช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของระบบกำจัดสารพิษตามธรรมชาติมาปรุงเป็นอาหารรับประทานก็สามารถช่วยปรับลดสารพิษในกายลงได้แล้ว
อาหารที่ช่วยล้างพิษกาย มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ล คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์เมืองตูลูส ฝรั่งเศส วิจัยพบว่า การรับประทาน แอปเปิ้ล วันละ 3 ผลร่วมกับอาหารอื่น ๆ เป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลง เพราะเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพกทินในแอ๊ปเปิ้ลจะคอยดักจับคอเลสเตอรอลเหล่านั้นไปทิ้งนั่นเอง แอ๊ปเปิ้ลยังมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ทั้งนี้ยังมีข้อมูลจากโภชนากรแนะนำว่า ควรกินแอ๊ปเปิ้ลแดง เพราะมีสารที่มีคุณสมบัติบำรุงภูมิคุ้มกันและช่วยล้างพิษในร่างกายมากที่สุด
กระเจี๊ยบแดง จากข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรตามหลักเภสัชกรรมแผนไทยระบุไว้ว่า กระเจี๊ยบแดง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทั้งยังค้นพบสาร “แอนโทไซยานนิ “ ซึ่งเป็นสารสีแดงตัวเดียวกันกับที่พบในบลูเบอร์รี่ แต่ใน กระเจี๊ยบ มีมากกว่า ซึ่งสารดังกล่าวนี้ช่วย ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินซีเสียอีกนอกจากนี้ยังมีข้อมูลรายงานว่า กระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยขจัดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะอีกด้วย
มะละกอสุก คือมิตรที่แท้จริงของระบบทางเดินอาหาร เพราะสารสำคัญในมะละกอช่วยป้องกันการเกิด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เส้นใยอาหารจาก มะละกอ สามารถจับกับสารพิษก่อ มะเร็งในลำไส้ใหญ่ และพาส่งออกทำให้สารพิษสัมผัสกับลำไส้ใหญ่น้อยที่สุดสารโฟเลต เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอีที่พบในมะละกอ ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยช่วยปกป้องสารพันธุกรรมในเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายมากนัก นอกจากนี้เอนไซม์ปาเปอีนและไคโมปาเปนยังช่วยย่อยโปรตีนและช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย
ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน ช่วยขับเหงื่อให้ร่างกายได้ ซึ่งการขับเหงื่อ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้สารพิษในระดับผิวหนังถูกขับออกไป ซึ่งหากคุณออกกำลังกายประจำอยู่แล้วก็ไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ถ้าไม่ค่อยมีเวลา ลองปรุงซุปขิงอุ่น ๆ รับประทานดู เพราะ ขิงมีความเผ็ดร้อนในตัว นอกจากจะช่วยต้านหนาวได้ดีแล้ว ยังช่วยส่งเสริมระบบการย่อยอาหารให้เป็นไปอย่างปกติ ขับลม และแก้วิงเวียนได้ดีทีเดียว ที่สำคัญ ยังช่วยขับเหงื่อเพื่อขจัดสารพิษที่ผิวหนังให้คุณได้
สับปะรด เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง อุดมไปด้วยวิตามิน ซี มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วย ขับสารพิษ ออกจากร่างกาย ช่วยต้านหวัดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นอกจากนี้ สับปะรดยังช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน สำหรับสายบุฟเฟ่ต์ที่รับประทานเนื้อสัตว์เยอะเกินความจำเป็นสับปะรดช่วยได้