รูปแบบการปกครอง
เป็นระบอบการปกครองแบบกระจายอำนาจจากกษัตริย์ไปยังขุนนาง ผู้ที่ได้รับสิทธิในการ
ครอบครองที่ดินเรียกว่าเจ้านายหรือลอร์ด ส่วนผู้ที่ได้รับมอบที่ดินเรียกว่า วัสซัล แล้วนำไปจัดตั้งเป็นเขต
แมเนอร์ มีการบริหารจัดการที่ดินและปกครองตนเองแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีวัสซัลเป็นเจ้านายของแต่ละ
แมเนอร์ มีชาวนาและข้าทาส เป็นผู้ใต้ปกครองมีหน้าที่ทำนาและรับใช้เจ้านาย ในขณะเดียวกันเจ้านายก็ให้ความคุ้มครองชาวนาและข้าทาส จึงเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างเจ้านายกับข้า ประเทศที่เคยใช้ระบบฟิวดัล เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน
สังคมในระบอบฟิวดัล ประกอบด้วย
1. กษัตริย์ มีฐานะเป็นเจ้านายสูงสุด
2. ขุนนาง (ผู้ที่ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินจากกษัตริย์และเป็นเจ้าของชาวนา ,ข้าทาส)
3. อัศวิน (ลูกของขุนนาง)
4. ชาวนา , ข้าทาส
การเสื่อมของระบอบฟิวดัล สาเหตุเกิดจาก
1. การปฏิวัติทางเศรษฐกิจคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทำให้การค้าและอุตสาหกรรม
มีความเจริญก้าวหน้า
2. การฟื้นฟูการค้ากับตะวันออกใกล้หรือเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีการไถ่ตัวข้าทาสเป็นอิสระ โดยไปทำการค้าเป็นช่างฝีมือ มีการเลื่อนฐานะเป็นชนชั้นกลางและมีอิทธิทางเศรษฐกิจ
3. เกิดโรคระบาด กาฬโรคทั่วยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทำให้แรงงานหายาก
ข้าทาสมีโอกาสเป็นอิสระ มีการโยกย้ายที่อยู่ ระบบแมเนอร์จึงเสื่อมลง
4. มีทหารรับจ้าง ชาวนาหนีไปเป็นทหารรับจ้าง เกิดการจลาจลของชาวไร่ ชาวนา
5. สงครามครูเสด และสงคราม 100 ปี ทำให้อัศวินเสียชีวิตมาก กษัตริย์ยึดอำนาจ
คืนจากขุนนางโดยมีพ่อค้า ชนชั้นกลางสนับสนุน กษัตริย์เริ่มติดต่อโดยตรงกับประชาชนทรงมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริง ยุบกองทัพของขุนนาง ระบบฟิวดัลได้วิวัฒนาการเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสเปนและฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
ระบอบแมนเนอร์
แมนเนอร์ (Manor) เป็นระบบการปกครองในฟิวดัลเจ้าหน้าที่ในเขตปกครอง “คฤหาสน์” เรียก “Lord of the Manor” ขุนนางมีสิทธิ์ครอบครองแมนเนอร์เป็นร้อยๆ ได้ ในแมนเนอร์ มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก แม้แต่แมนเนอร์ ที่เล็กที่สุดมีเนื้อที่ประมาณ 300 – 400 เอเคอร์ และอาจประกอบด้วยหมู่บ้านเดียวหรือมากกว่านั้น แต่ละแมนเนอร์จะมีระบบเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ในตัวเอง ภายในแต่ละแมนเนอร์จะมี
Manor - House ของ Lord หรือเจ้านาย อยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยคูกั้นเป็นที่อยู่ของครอบครัวเจ้าของที่ดินและอัศวินทั้งหลาย ตลอดจนผู้จัดการดูแลแมนเนอร์ และพระของหมู่บ้านแมนเนอร์ ถัดจากคูที่ล้อมรอบ Manor-House เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไร่ชาวนา เลยที่อยู่ของชาวไร่ชาวนาออกไปเป็นไร่นา ส่วนที่ดีที่สุดกันไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าของที่ดินและพระ ที่เหลือเจ้าของที่ดินจะจัดแบ่งให้พวกไพร่ติดที่ดิน แต่ละครอบครัวทำกินจะขยายหรือโยกย้ายไม่ได้ ถ้าเจ้าของที่ดินไม่สั่ง
ชนชั้นในแมนเนอร์สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.ชนชั้นขุนนางหรือเจ้าของแมนเนอร์ ซึ่งอาจรวมพระ หรือกษัตริย์ สำหรับแมนเนอร์ใหญ่ๆ
2.ชนชั้นไพร่ เป็นชนชั้นที่ทำงานให้แก่ชนชั้นขุนนาง ประกอบด้วย
ก.ชนชั้นวิเลนส์ (Villein) เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์ และเป็นชนชั้นที่มีความสำคัญต่อแมนเนอร์มากกว่าชนชั้นอื่น เพราะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการเพาะปลูก
ข. ชนชั้นคอททาร์ หรือบางทีเรียก บอร์ดาร์ (Bordars) หรือคอทเทเจอร์ส (Cottagers) ชนชั้นนี้มีจำนวนคนรองจากชนชั้นวิเลนส์และมีฐานะด้อยกว่าทั้งในทางสังคมและทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีที่ดินน้อยกว่า จึงต้องพึ่งพาชนชั้นอื่นในการดำรงชีพ โดยเฉพาะการรับใช้ตอบแทนขุนนาง และทำหน้าที่เป็นแรงงาน
ค. ชนชั้นทาส (Serf) เป็นพลเมืองส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์ มีพันธะที่จะต้องจ่ายให้เจ้านายของตนในรูปแรงงานและผลผลิต หรือเงินตรา เช่น ต้องเสียภาษีรัชชูปการ
3.ชนชั้นเสรีชน เป็นชนชั้นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับขุนนาง เป็นเจ้าของที่ดินโดยเสรี ไม่ต้องมีภาระข้อผูกมัดกับชนชั้นอื่นๆ