หลัก 7 C’s of Communication คือรายการตรวจสอบ (checklist) ที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและเพิ่มโอกาสให้ผู้รับข้อมูลได้เข้าใจข้อมูลตรงตามความตั้งใจของผู้สื่อสาร เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ได้ทั้งกับการสื่อสารด้วยวาจา
องค์ประกอบหรือคุณสมบัติ 7 ประการของการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย
1. ชัดเจน (Clear)
ในการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ข้อมูลที่สื่อสารต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ชัดในเนื้อหาสาระ ใช้คำที่มีความหมายตรงตัว ไม่ต้องตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิด
2. ถูกต้อง (Correct)
ความถูกต้องของข้อมูล หมายถึงเป็นข้อเท็จจริง (fact) ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับข้อมูลว่าไม่ได้ถูกหลอกให้หลงเชื่อ
ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องทั้งไวยากรณ์และตัวสะกด
3. ครบถ้วน (Complete)
การสื่อสารควรเป็นการส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้รับข้อมูลควรทราบ ความครบถ้วนนี้จะต่างกันไปในแต่สถานการณ์ ไม่ตกหล่นเนื้อหาสาระที่สำคัญ เป็นข้อมูลที่สร้างแรงจูงใจ
4. หนักแน่นมีสาระ (Concrete)
ข้อมูลควรมีความจำเพาะเจาะจง หนักแน่น มีสาระ ไม่คลุมเครือหรือกว้างจนเกินไป มีข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ลดความน่าเชื่อถือ จำเพาะเจาะจงในประเด็นที่สื่อสาร มีความเป็นรูปธรรมในเรื่องที่สื่อสาร
5. กระชับ (Concise)
ข้อมูลควรกระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ชูเนื้อหาสาระหลักได้ชัดเจน ไม่กล่าววนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก
6. สมเหตุสมผล (Coherent)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กับประเด็นหลัก อสร้างมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเพื่อให้ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เน้นไปในสิ่งที่เป็นไปได้
7. มีมารยาท (Courteous)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีลักษณะที่เป็นมิตร เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่มีประเด็นซ่อนเร้นหรือเหน็บแนมก้าวร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ไม่นำอคติใด ๆ มาบิดเบือนข้อมูลให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง คำนึงถึงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ ของผู้รับข้อมูล ไม่หักหาญหรือฝืนความรู้สึกนึกคิดของผู้รับ ใช้คำในเชิงบวก
ที่มา www.drpiyanan.com
การสื่อสารถือเป็นทักษะที่คุณสามารถฝึกฝนและพัฒนาให้กลายเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานได้ โดยมันสามารถสร้างให้เกิดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างทีมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างการติดต่อกับลูกค้า รวมถึงความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในบทบาทของการทำงานนั้นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) จะช่วยให้คุณมีโอกาสในความก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งงานหรือหน้าที่ที่ดีกว่าเดิมได้ไม่ยากครับ และผมได้รวมเทคนิคดีๆเพื่อช่วยให้การสื่อสารของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมาฝากกันครับ
ข้อดีของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication)
ประโยชน์ของการพัฒนาการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพนั้นมีอยู่หลายอย่างที่นอกเหนือจากโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานครับ ซึ่งมันก็มีหลายๆงานวิจัยหรือการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่สามารถนำมาสรุปได้ดังนี้
- ช่วยให้แก้ปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น
- ช่วยให้เห็นวิถีทางในการแก้ไขเรื่องต่างๆ
- ปรับความเข้าใจผิดและลดโอกาสการเกิดความขัดแย้ง
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- สร้างปฏิสัมพันธ์เพิ่มขึ้นกับเพื่อร่วมงานและคนอื่นๆ
- สร้างความมั่นใจให้ตนเองและคนรอบข้าง
- โอกาสความก้าวหน้าในเรื่องต่างๆของชีวิต
รวมเทคนิคเพื่อการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
ผมขอจัดหมวดหมู่ให้ดูง่ายๆโดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่
1. การพัฒนาทักษะการสนทนา (Conversation)
เมื่อเป็นเรื่องของการสนทนามันก็คือการสื่อสารแบบสองทาง (Two-ways communication) ที่มีการแบ่งปันความคิดเห็นหรือความรู้ด้านต่างๆ โดยต้องมีทักษะทั้งการถ่ายทอดและการโน้มน้าวใจให้คู่สนทนานั้นเกิดความรู้สึกที่ดีและอยากพูดคุยกับคุณ เรามาดูกันครับว่ามันมีอะไรกันบ้าง
- แสดงความจริงใจและผ่อนคลาย
ในทุกๆครั้งของการพูดนั้นคุณต้องแสดงความรู้สึกถึงความจริงใจ และการถ่ายทอดความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับคู่สนทนาโดยไม่บีบบังคับหรือพยายามทำแบบฝืนๆ ซึ่งมันคือการเข้าไปแตะในเรื่องของความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณควรที่จะเข้าถึงอารมณ์และเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกันให้ลึกซึ้งมากที่สุดเพราะมันจะสร้างบรรยากาศดีๆให้เกิดขึ้น
- พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและไม่เร่งจนเกินไป
หลายๆครั้งสำหรับการพูดในที่สาธารณะหรือการประชุมนัดสำคัญๆ มันจะทำให้คุณรู้สึกประหม่าและกดดันจนทำให้คุณออกอาการตื่นเต้นพูดเร็วพูดรัวจนเกินไป ซึ่งนั่นมันไม่ดีต่อผู้ฟังและตัวคุณเองเอาซะเลย เพราะนอกผู้ฟังจะฟังไม่รู้เรื่องแล้วความน่าเชื่อถือในตัวคุณอาจลดลงอีก ดังนั้นคุณควรหมั่นฝึกฝน ทำสมาธิก่อนพูดคุยเจรจา และจัดลำดับความคิดก่อนพูดอะไรออกไป
- เลือกคำพูดให้เหมาะสม
ทุกๆคำพูดที่คุณสื่อสารออกไปมันมักจะสร้างผลกระทบไม่ทางบวกและทางลบอยู่เสมอ และความที่คุณมีหลายบทบาททั้งการเป็นพนักงาน ความเป็นทางการของเนื้องาน ความเป็นเพื่อนสนิท ความเป็นพี่น้อง หรือคู่ชีวิต การเลือกใช้คำพูดและภาษาก็จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยคุณไม่สามารถนำคำพูดในบทบาทหนึ่งมาแทนที่กับอีกบทบาทหนึ่ง เพราะมันอาจทำให้เกิดความไม่เหมาะสมขึ้น ดังนั้นควรพิจารณาว่าผู้ฟังเป็นใครอยู่ในสถานการณ์ใด และเลือกใช้คำพูดและภาษาให้เหมาะสมที่สุดครับ
- ปฏิเสธอย่างสุภาพ
การสื่อสารและสนทนาเราต้องเจอกับเรื่องที่แตกต่างด้านความคิดอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดครับที่คุณจะปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วยเพียงแต่การปฏิเสธนั้นต้องมีชั้นเชิงสักหน่อย ไม่ใช่ต่อต้านแบบชักสีหน้าหรือใช้คำพูดที่รุนแรง โดยคุณควรที่จะเปิดใจให้กว้าง พยายามเข้าใจมุมมองของคู่สนทนา เสนอมุมมองของคุณอย่างสุภาพและอย่าพยายามตัดสินอะไรในทันที
- หัดถามคำถามบ้าง
อย่าลืมนะครับว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นคือการสื่อสารแบบสองทาง (Two-ways communication) ซึ่งมันก็คือคุณต้องไม่ยพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยต้องมีการหัดตั้งคำถามกลับบ้าง ไม่เช่นนั้นการสื่อสารของคุณจะจบอย่างรวดเร็วซึ่งมันเป็นผลเสียต่อหลายๆเรื่องอย่างแน่นอน
2. ภาษากาย (Body Language)
นอกจากการพูดแล้วสิ่งที่จะช่วยให้คุณถ่ายทอดการสื่อสารที่ดีนั้นก็คือเรื่องของภาษากายครับ โดยมันต้องมาคู่กันแบบอัตโนมัติที่แยกออกจากกันไม่ได้เลยจริงๆ
- ยิ้มอย่างจริงใจและมีอารมณ์ขัน
การยิ้มและอารมณ์ขันจะเป็นประตูสู่การสื่อสารที่ดีมากยิ่งขึ้นซึ่งมันช่วยให้ผู้ฟังนั้นรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการพูดคุยหรือการฟังได้ตลอด อย่ายิ้มแบบฝืนๆเพราะต้องการสร้างบรรยากาศดีๆ แต่ควรยิ้มแบบจริงใจที่มาจากใจของคุณเอง ส่วนอารมณ์ขันนั้นก็อย่ามีมากจนเกินไปเพราะมันอาจกลายเป็นการเล่นจนเกินไป
- Eye Contact
การสบตาคู่สนทนาเป็นระยะๆจะแสดงให้เห็นถึงความสนใจความใส่ใจและความจริงใจ ต่อทั้งสิ่งที่คุณพูดและเป็นการให้เกียรติกับผู้ฟังหรือคู่สนทนาครับ และมันก็หมดยุคของการพูดแบบอ่านหรือท่องหนังสือไปแล้ว
- ผ่อนคลายอย่าเกร็ง
ความตื่นเต้นจะทำให้ร่างกายคุณสั่นหรืออาจเกิดอาการหน้าซีดก็ได้ ซึ่งมันคงไม่ดีแน่ๆหากคุณต้องพูดต่อหน้าคนหลายๆคนครับ
- ระวังภาษากาย
ไม่ควรนั่งไขว่ห้างหรือกอดอกในระหว่างการประชุมหรือการสนทนาในโอกาสต่างๆครับ เพราะมันแสดงถึงความไม่เคารพคู่สนทนาโดยเฉพาะในบริบทของคนไทย แต่หากเป็นบริบทของชาติตะวันตกบางชาติก็อาจดูเป็นเรื่องปกติครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะเก็บแขนขาให้นิ่งๆอยู่กับที่จะดีกว่า นอกจากนั้นการเอนหรือบิดตัวไปมา การเล่นมือถือ หรือการทำอะไรอย่างอื่นในขณะพูดคุย อาจทำให้เสียสมาธิและบรรยากาศนั้นเสียได้ทันที
3. การฟังและการสังเกต (Listening & Observation)
การพูดอย่างเดียวแบบม้วนเดียวจบไม่ใช่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง โดยจำเป็นต้องใช้การฟังและการสังเกตบริบทต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
- มีปฏิสัมพันธ์บ้าง
ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคุณนั้นใส่ใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูด โดยไม่ปล่อยให้การพูดนั้นกลายเป็นการพูดอยู่คนเดียว คุณอาจพยักหน้าหรือพูดว่า เข้าใจ เห็นด้วย ซึ่งบทบาททั้งการเป็นผู้พูดและผู้ฟังนั้นก็สามารถทำในลักษณะเดียวได้เช่นกัน มันจะช่วงสร้างให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ครับ
- สังเกตบรรยากาศในห้อง
คุณสามารถปรับโทนหรือน้ำเสียงในการนำเสนอเมื่อคุณสังเกตเห็นอากัปกิริยาของคนในห้อง เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศการฟังที่ดีมากยิ่งขึ้น เช่น ผู้ฟังเริ่มซึมๆหน้าตาเริ่มเบื่อหน่าย ผู้ฟังเริ่มทำอย่างอื่นแทนการใส่ใจกับการฟัง อะไรที่ผู้ฟังสนใจเป็นพิเศษเวลาที่คุณพูด
4. เนื้อหาในการพูด (Information)
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือการเตรียมข้อมูลและเนื้อหาสำหรับการสื่อสารครับ โดยแน่นอนว่าคุณต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของการสื่อสารในเบื้องต้นให้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็มีรูปแบบการสื่อสารในแต่ละสถานการณ์หรือบริบทที่แตกต่างกันออกไป เช่น รูปแบบการประชุม รูปแบบการปราศรัย รูปแบบการนำเสนองาน รูปแบบการขายสินค้าหรือบริการ หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของการเตรียมเนื้อหาโดยยึดหลักต่างๆ ดังนี้