�ѡɳ������ҡ�Ȣͧ����µ��ѹ�͡��§��
1.ࢵ�����ҡ�� �����ҡ�Ȣͧ����µ��ѹ�͡��§�� ���� 2ࢵ �ѧ���
1.1 ࢵ�����ҡ�Ȼ����������������ҡ��Ẻ������ࢵ�� ���ҡ����ͺ����
��������٧ ������ʹ�� �ת�ѹ�������ҵ��繻�����ࢵ�� �� ����ѡ ����ҧ �ҧ����
��л�����ອ���ó �����駾ת��������������觷��� ��� �о���� ���������ѹ �����ҡ��Ẻ��龺
㹾�鹷�����dzࢵ�ٹ���ٵ� ���� ������� �Թⴹ���� ���� ���Ի�Թ�� �ԧ����
1.2 ࢵ�����ҡ�����������
���ҡ�����ҡ�Ĵ����س������٧�ش�·�������������ҧ
33 �֧ 40 ͧ�������� ��ࢵ�����ء�蹡ѹ ��㹾�鹷�����dz�˹������ٹ���ٵ� ���� ���� ��
����٪� ��� ������´���
2.�Ѩ��·���յ�������ҡ�� �˵ط������µ��ѹ�͡��§�� ���ҡ������н����ء�������Ѻ�Ѩ���
�ѧ���仹��
2.1 ����駵���еԨٴ ���ͧ�ҡ�����Ҥ��������������ҧ��鹷�ͻԤ�Ϳ᤹����Ѻ��鹷�ͻԤ�Ϳ
᤻�Ԥ �ѹ��ࢵ�����ҡ�����ͧ�š ������������ҡ����������������ҡ��Ẻ������ࢵ�� ���
�����������㹵��˹觷�����Ѻ�ʧᴴ��ͧ�ç�ҡ�ǧ�ҷԵ��ҹ����ش��ͺ
1 ��
2.2 ��ȷҧ����Ш� ����Шӷ��Ѵ��ҹ����µ��ѹ�͡��§�� ����
1) ����Ш�Ĵ������������ ����
(1) ����������ѹ����§�� �Ѵ���������ҧ������Ҥ� �֧��ҧ�����Ҥ� �ҡ
�����ط��Թ��¼�ҹ�����ѹ���ѹ���������dz�蹴Թ�˭�ͧ����µ��ѹ�͡��§�� �������Ѵ��ҹ��鹹���ѹ���ҧ�˭�֧����Ӫ����С�����ҡ����蹨ҡ�����Ҵ��� ������Դ�����ء
��������Ҵѧ����� �������dz�Ҥ���觵��ѹ���ͧ���� �� ����٪� ���´���
(2) ����������ѹ�͡��§�˹�� �Ѵ���������ҧ����Ȩԡ�¹�֧������Ҿѹ��
�������Ѵ�ҡ����蹴Թ�˭��ҧ��ջ�����ŧ�����������������ط��Թ���
�Ӥ���������
���˹����������
���ҧ�á�� ���ͧ�ҡ�����Ѵ��ҹ�����·�����չ�Өҡ�����µԴ�Ҵ��� �֧�Դ�����ء�Ĵ�˹�Ƿҧ��觵��ѹ�͡�ͧ�Ҥ��ͧ������������
2) �����ط���Դ����dz���Ũչ�� ����ռš�з���������Ҥ����µ��ѹ�͡��§��
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ตาลีบันสามารถยึดครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จ และเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาอัฟกานิสถานได้จัดตั้งรัฐบาลรักษาการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของตาลีบัน ดูจะขัดกับความคาดหวังของนานาชาติที่ต้องการให้รัฐบาลมาจากหลายกลุ่มการเมืองและชาติพันธุ์ แต่หลังจากอัฟกานิสถานมีรัฐบาลรักษาการไม่นาน ก็เริ่มมีการเจรจาเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ และเรียกร้องให้นานาชาติส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก หนึ่งในประเทศที่ยื่นมือเข้าไปช่วยอัฟกานิสถานคือจีน
ซึ่งมีบทบาทและพูดคุยกับกลุ่มตาลีบันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพูดคุยครั้งหลังสุดที่จัดขึ้นก่อนตาลีบันยึดกรุงคาบูลไม่กี่สัปดาห์ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน ที่น่าสนใจกว่านั้น จีนเป็นไม่กี่ประเทศที่ยังคงภารกิจทางการทูตในอัฟกานิสถาน และผู้นำของตาลีบันหลายคนได้เดินทางมาพบและพูดคุยกับทูตจีนประจำอัฟกานิสถานอย่างเปิดเผย ส่วนคำถามที่ว่าทำไมจีนยังสนใจอัฟกานิสถานนั้น
บทความ‘”การลงทุนมีความเสี่ยง” เหตุไฉน จีนถึงกล้าลงทุนในอัฟกานิสถาน?’ ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว ฉะนั้นจึงอยากชวนท่านผู้อ่านพิจารณาประเด็นสถานภาพของอินเดียที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการขึ้นมามีอำนาจของตาลีบัน และที่สำคัญกว่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอัฟกานิสถานส่งผลให้สมดุลในเอเชียใต้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากด้วย เป็นที่ถกเถียงกันอยู่มากว่า สรุปแล้วอัฟกานิสถานจัดอยู่ในภูมิภาคใดของทวีปเอเชียกันแน่ บ้างก็ว่าเอเชียกลาง บ้างก็ว่าเอเชียใน แต่ในบทความชิ้นนี้จะจัดอัฟกานิสถานเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียใต้ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะอัฟกานิสถานเป็นส่วนหนึ่งของ‘สมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asian Association for Regional Cooperation: SAARC)‘ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการจัดอัฟกานิสถานอยู่ในภูมิภาคอื่นๆ จะเป็นเรื่องผิดอันใด
เพราะขึ้นอยู่กับว่าจะพิจารณาจากมิติด้านใด ที่สำคัญไปกว่านั้น ความสับสนในการจัดตำแหน่งแห่งที่ของอัฟกานิสถานในภูมิภาคเอเชียถือเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อภูมิภาค โดยเฉพาะการเป็นจุดเชื่อมระหว่างเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันตกหรือตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ยูเรเชีย และเอเชียใต้ ความพิเศษในเชิงภูมิศาสตร์ส่งผลให้อัฟกานิสถานมีความสำคัญอย่างมากต่อภูมิรัฐศาสตร์และภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเอเชีย มีบันทึกทางประวัติศาสตร์หลายชิ้นที่ระบุว่าดินแดนแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อเส้นทางการค้าสายไหมของจีน
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพื้นที่การปะทะกันทางอารยธรรมของอินเดีย จีน และเอเชียตะวันตกอีกด้วย ในขณะที่ปัญหาการก่อการร้ายที่เริ่มก่อตัวอย่างเป็นรูปร่างในช่วงปี 2001 ส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้ถูกจับตามองอีกครั้ง โดยเฉพาะการเข้ามาของสหรัฐอเมริกา ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา การคงอยู่ของสหรัฐอเมริกามีส่วนช่วยให้ดินแดนแห่งนี้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นและยังส่งผลต่อภาพรวมของภูมิรัฐศาสตร์เอเชียด้วย ลักษณะภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหลังการกลับมามีอำนาจของตาลีบัน
และการถอนทหารของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่สิ้นสุดลงไปเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นำมาซึ่งสภาพสูญญากาศทางความมั่นคงในอัฟกานิสถาน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียด้วย โดยเฉพาะในเอเชียใต้ซึ่งถือว่าอินเดียมีบทบาทอย่างมากในภูมิภาคมาโดยตลอด แม้จะเผชิญการท้าทายจากปากีสถานอยู่บ่อยครั้ง แต่อินเดียยังคงสถานะนำภายในภูมิภาคไว้ได้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จึงนำมาซึ่งคำถามว่า
การขึ้นมามีอำนาจของตาลีบันจะส่งผลอย่างไรบ้างต่อภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียใต้ในฐานะที่อัฟกานิสถานเคยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของอินเดียในการลดทอนอิทธิพลของปากีสถาน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมดเมื่อตาลีบันขึ้นมามีอำนาจ เพราะนอกจากตาลีบันจะใกล้ชิดกับปากีสถานแล้ว ดูเหมือนว่ารัฐบาลชุดใหม่ยังคาดหวังให้จีนเข้ามามีบทบาทภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของอินเดียในภูมิภาคแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านี้จีนก็ขยายอิทธิพลของตัวเองเข้ามาในเอเชียใต้อย่างต่อเนื่องอัฟกานิสถานในฐานะจุดเชื่อมของภูมิภาคเอเชีย
สถานะที่ไม่มั่นคงของอินเดียกับอิทธิพลจีนที่เพิ่มขึ้นในอัฟกานิสถาน
ดังที่เขียนไว้ข้างต้นว่าความเปลี่ยนแปลงในอัฟกานิสถานครั้งนี้ส่งผลอย่างมากต่ออินเดีย เพราะอินเดียลงทุนและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมประเทศแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนเรียกได้ว่าโครงการพัฒนาของอินเดียในอัฟกานิสถานนั้นครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศ และคิดเป็นเงินลงทุนมากถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหตุผลที่อินเดียลงเงินจำนวนมากไปกับอัฟกานิสถานมาจาก 2-3 ปัจจัยสำคัญ
ประการแรก หากมองมิติในด้านการก่อการร้ายและความมั่นคงของอินเดีย สายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างอินเดียและรัฐบาลอัฟกานิสถานก่อนหน้านี้ช่วยลดอิทธิพลของกลุ่มตาลีบันที่มีต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคชเมียร์ ซึ่งอินเดียเชื่อเสมอมาว่าตาลีบันมีแนวคิดให้ความช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวเพื่อปลดปล่อยแคชเมียร์ให้เป็นเอกราช
ในอีกด้านหนึ่ง อินเดียมียุทธศาสตร์ต้องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของเอเชียใต้และเอเชียกลางเข้าหากันผ่านโครงการลงทุนหลายชนิด แม้ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคจากปากีสถาน อินเดียก็ตัดสินใจลงทุนในอิหร่านเพื่อใช้ท่าเรือ Chabahar ในการเชื่อมโยงอินเดียกับเอเชียกลางผ่านทางอัฟกานิสถาน ซึ่งโครงการมีความก้าวหน้าไปมากพอสมควรแล้ว และประการสุดท้าย อินเดียคาดหวังให้อัฟกานิสถานคัดง้างอำนาจของปากีสถานภายในภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งก็เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด
ยุทธศาสตร์เชื่อมโยงอินเดีย-อิหร่าน-อัฟกานิสถาน ที่อินเดียพยายามผลักดัน ภาพโดย RaviCเมื่อพิจารณาจากเหตุปัจจัยข้างต้น อินเดียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ต้องไม่ลืมว่าอินเดียมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อตาลีบันอย่างมากนับตั้งแต่ตาลีบันมีอำนาจในปี 1996 อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าตาลีบันมีแนวโน้มสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวในแคชเมียร์ ซึ่งถือเป็นภัยทางด้านความมั่นคงอย่างมากต่ออินเดีย และสำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตาลีบันและปากีสถานทำให้ยุทธศาสตร์การขยายความร่วมมือของอินเดียไปยังเอเชียกลางอาจต้องเผชิญกับปัญหาครั้งสำคัญในสภาพเช่นนี้
แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่าการที่ตาลีบันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้จีนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจภายในอัฟกานิสถานมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าจีนมีข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดการกลุ่มเคลื่อนไหวเติร์กตะวันออกซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อมณฑลซินเจียงของจีน และรัฐบาลของตาลีบันต้องมาจากความร่วมมือจากทุกฝ่าย
แม้ว่าจีนจะเข้าไปลงทุนในอัฟกานิสถานมานานแล้ว ทั้งในโครงการเหมืองแร่ทองแดงและสัมปทานน้ำมันดิบ แต่โครงการเหล่านี้ต้องเผชิญปัญหาอย่างมากจากความขัดแย้งภายในอัฟกานิสถาน ฉะนั้นจีนจึงไม่ได้ปิดช่องทางการเจรจากับตาลีบันในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะอย่างที่ระบุไว้แล้วว่าอัฟกานิสถานมีความสำคัญอย่างมากต่อเส้นทางสายไหมในอดีตของจีน และในปัจจุบันก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามจีนจะยังคงรอเวลาไปสักพักก่อนเพื่อดูสถานการณ์ภายในอัฟกานิสถานให้มีเสถียรภาพมากกว่านี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น จีนเองก็ยังคงไม่ไว้วางใจตาลีบันได้อย่างสนิทใจจนกว่าจะได้เห็นการกระทำที่ชัดเจนมากกว่านี้ แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการกลับมามีอำนาจของตาลีบันในอัฟกานิสถานนั้นเพิ่มโอกาสให้กับจีนในการเติมเต็มยุทธศาสตร์ข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI)
แน่นอนว่าความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่กำลังก่อรูปขึ้นนี้ยังผลกระทบอย่างมากต่อภูมิรัฐศาสตร์เอเชียใต้ ซึ่งในอดีตนั้นอินเดียถือว่าผูกขาดความเป็นผู้นำในการให้ความช่วยเหลือและลงทุนทางเศรษฐกิจ แต่การขยายอิทธิพลเช่นนี้ของจีนกำลังกระทบสถานะนำของอินเดียในภูมิภาคอย่างมาก
กรงเล็บมังกรเหนือภูมิภาคเอเชียใต้
บทบาทและอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในอัฟกานิสถานยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียใต้ เพราะการขึ้นมามีอำนาจของตาลีบันส่งผลให้อินเดียสูญเสียพันธมิตรที่สำคัญในภูมิภาคไป (อินเดียเป็นผู้ผลักดันให้อัฟกานิสถานเข้าร่วม SAARC) จากเดิมที่อินเดียใช้อัฟกานิสถานเพื่อสกัดกั้นปากีสถาน แต่เมื่อตาลีบันกลับมามีอำนาจเช่นนี้ จึงกลายเป็นว่าอินเดียต้องเผชิญหน้ากับปากีสถาน-อัฟกานิสถาน-จีนในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์เอเชียใต้ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่ออินเดียทั้งเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะการที่จีนจะขยายยุทธศาสตร์ BRI ในเอเชียใต้ได้สะดวกขึ้น
เพราะนับจนถึงวันนี้มีเพียง 2 ประเทศในเอเชียใต้เท่านั้นที่ไม่สนใจเข้าร่วมยุทธศาสตร์ BRI นั่นคืออินเดียและภูฏาน โดยอินเดียมีความกังวลต่อโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน (China–Pakistan Economic Corridor: CPEC) ซึ่งพาดผ่านพื้นที่พิพาทอย่างแคชเมียร์ ปัจจัยนี้ส่งผลให้อินเดียยังคงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว
ที่สำคัญ แม้ว่าจีนจะอธิบายว่า BRI เป็นยุทธศาสตร์เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในทางหนึ่ง BRI มีส่วนอย่างมากต่อการขยายอิทธิพลของจีนไปยังประเทศต่างๆ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้ผ่านการลงทุนจำนวนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันเอเชียใต้ถือเป็นพื้นที่การลงทุนที่สำคัญของจีน ไม่ว่าจะเป็นใน เนปาล บังคลาเทศ มัลดีฟส์ ศรีลังกา หรือปากีสถาน
ความแนบชิดทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียใต้กับจีนที่มากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมความสัมพันธ์ทางการเมืองของประเทศเหล่านี้กับจีนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ลักษณะเช่นนี้สั่นคลอนสถานะนำของอินเดียในภูมิภาคเอเชียใต้อย่างมาก เพราะตอนเหนือต้องเผชิญกับจีนโดยตรง ในขณะที่ทางใต้ต้องเผชิญกับท่าเรือ Hambanthota ที่จีนได้รับสัมปทานจากรัฐบาลศรีลังกาในการบริหารจัดการ และมีความเป็นไปได้ว่าจีนอาจใช้เป็นจุดแวะพักของเรือรบจีนในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียในอนาคต
ซ้ำเมื่อหันไปทางตะวันตก อินเดียก็ต้องเผชิญกับปากีสถานคู่ปรับคนสำคัญ หนำซ้ำอิหร่านที่อินเดียหมายมั่นปั้นมือจะใช้เป็นทางเชื่อมเข้าไปยังเอเชียกลางก็มีสายสัมพันธ์กับจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร และล่าสุดจีนก็ผลักดันอิหร่านเข้ามาเป็นสมาชิกถาวรในองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization: SCO) ไม่ต่างกันสถานการณ์ทางฝั่งตะวันออกของอินเดียก็ไม่ได้ดีนักเพราะทั้งบังคลาเทศ และพม่าต่างก็หันหน้าเข้าหาจีนทั้งสิ้น
โครงการพัฒนาท่าเรือของจีนในเอเชียใต้และเพื่อนบ้านของอินเดีย ภาพจาก SP’s Naval Force
ฉะนั้นเมื่อพิจารณาในจุดนี้ จะเห็นได้ว่าพญามังกรอย่างจีนกำลังสยายปีกเข้ามาบินเหนือภูมิภาคเอเชียใต้มากยิ่งขึ้น และกำลังค่อยๆ ใช้กรงเล็บอันแหลมคม ซึ่งประกอบด้วยเงินลงทุนที่มีมากมหาศาล และเทคโนโลยีราคาถูกที่จับต้องได้ เข้าไปตะครุบประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นพันธมิตรที่แนบชิดกับอินเดีย ส่งผลให้อินเดียกำลังอยู่ในสภาพที่อยู่ท่ามกลางแรงกดดันของอิทธิพลจีน
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าอินเดียจะสูญเสียสถานะนำภายในภูมิภาคไปอย่างสิ้นเชิง เพราะอินเดียก็ยังมีไพ่ในมืออีกหลายใบที่สามารถหยิบขึ้นมาใช้เพื่อรักษาสมดุลกับจีนภายในภูมิภาคได้ โดยอำนาจทางเศรษฐกิจที่หลายประเทศในภูมิภาคนี้ยังคงมีอินเดียเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นอินเดียยังสามารถดึงความช่วยเหลือจากมหาอำนาจภายนอกที่ขัดแย้งกับจีนเข้ามาช่วยได้ ซึ่งเราจะเห็นได้จากความร่วมมือ QUAD
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงภายในอัฟกานิสถานนั้นยังผลสำคัญต่อสมการภูมิรัฐศาสตร์และภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเอเชียใต้ โดยเฉพาะบทบาทของตัวแปรอย่างจีนที่เพิ่มขึ้นจนมีนัยยะสำคัญต่อภูมิภาค ฉะนั้นเอเชียใต้จะกลายเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่มหาอำนาจจะเข้ามาปะทะและแย่งชิงผลประโยชน์กันไม่แตกต่างจากที่กำลังเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก ภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งจีน-อินเดีย อินเดีย-จีน เอเชียใต้ อินเดีย
นักเรียนรัฐศาสตร์ ผู้สนใจศึกษา 'อินเดีย' ในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม