Tweet
พระกีสาโคตมีเถรี
เอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง
พระกีสาโคตมีเถรี หรือ พระกีสาโคตมี เกิดในวรรณะแพศย์ ในกรุงสาวัตถี มีชื่อเดิมว่า "โคตมี" แต่เพราะมีร่างกายผ่ายผอมหลายคนจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "กสาโคตมี" แปลว่า "นางโคตมีผอม" ครั้งหนึ่งเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถีประสบเคราะห์กรรมคือเงินและทองกลายเป็นถ่าน แต่เมื่อนางกิสาโคตมีมาแตะถ่านเหล่านั้น ถ่านก็กลับกลายเป็นเงินและทองอย่างเดิม เศรษฐีจึงสู่ขอท่านมาเป็นลูกสะใภ้ แต่ก็ไม่วายที่จะถูกคนเหล่านั้นเหยียดหยามว่ามาจากตระกูลคนยากจน ต่อมานางจึงให้กำเนิดบุตรแต่บุตรนั้นก็ได้ตายจากไป เมื่ออายุเพียง ๓ ขวบ การตายของบุตรจึงทำให้นางตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก ถึงขนาดอุ้มศพลูกไปทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งมาพบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีอ พระพุทธเจ้าและทรงใช้อุบายแก้ความทุกข์ใจของท่านจนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามท่านยังถือว่ามีบุญอยู่มาก
พระกีสาโคตมีเถรี เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้ท่านเป็นพระภิกษุณีผู้เอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุณีอื่นในด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง
เมื่อลูกน้อยของ “นางกิสาโคตมี” ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นางรํ่าไห้เหมือนว่า หัวใจนางกำลังจะแตกสลาย
จนสติฟั่นเฟือน ไม่ยอมให้ใครมาเผาศพลูกน้อยของนาง ด้วยนางคิดเข้าข้างความหวังของตัวเองว่าลูกน้อยยังไม่ตาย เพียงแต่หลับไม่ตื่นเท่านั้น แม้ว่าใครจะพรํ่าบอกนางว่าลูกของนางตายแล้วก็ไม่ฟัง วันๆ นางได้แต่อุ้มศพลูกน้อยเดินไปมา พบใครก็เอ่ยถามว่า“มียาให้ลูกฉันฟื้นไหม ขอยาให้ลูกฉันด้วย”
ชายคนหนึ่งมาพบเข้ารู้สึกสงสาร จึงบอกนางว่า ตนก็ไม่มียาดอก แต่รู้จักคนที่มียา พระองค์คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนี้ประทับอยูที่วิหารเชตวันนอกเมือง สาวัตถี
นางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจมาก รีบอุ้มศพลูกน้อยไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วิหารเชตวัน กราบทูลถามว่า “พระองค์มียารักษาลูกของหม่อมฉันจริงหรือ”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ยานั้น จะมีได้ต่อเมื่อได้ทําตามวิธีทํายา”
นางจึงกราบทูลว่า “ขอพระองค์โปรดประทานวิธีทํายาเพื่อช่วยรักษาลูกของหม่อมฉันด้วยเถิด”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักกำมือหนึ่ง เราจะบอกวิธีทำยาให้ แต่เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น จะต้องเอาจากบ้านที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อนเลยนะ ถึงจะทํายาได้”
นางอุ้มศพลูกน้อยไปเที่ยวขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากชาวบ้านทุกบ้านแต่ก็หาไม่ได้ ทุกบ้านล้วนมีเมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่ไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน ทุกบ้านล้วนเคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น บ้างก็ปู่ ย่าตายายตาย บ้างก็พ่อแม่ตาย บ้างก็ลุงป้าน้าอาตาย บ้างก็พี่น้องตาย บ้างก็สามีภรรยาตาย และบ้างก็ลูกหลานตาย
นางเดินทั้งวันทั้งคืนจนเท้าระบมก็ไม่ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแม้แต่เมล็ดเดียว ฉับพลันทันใดนั้นนางก็ได้คิดว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะลูกน้อยของนางที่ตาย คนอื่นก็ตายด้วย และสักวันหนึ่งนางก็ต้องตายเช่นกัน ไม่มีใครหลีกหนีความตายไปได้
ความตายเป็นความจริงแน่นอนของชีวิต สิ่งใดมีการเกิดขึ้นก็ต้องมีการแตกดับไปเป็นธรรมดา เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เหมือนเกิดความสว่างขึ้นในใจ ความเศร้าโศกที่นางหมกมุ่นและแบกมาแสนหนักก็ผ่อนคลายและจางหายไป รู้สึกตัวว่าตื่นขึ้น จิตใจสดชื่นเบิกบานและปลอดโปร่งเบาสบาย การตายของบุตรตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิดได้แล้วนางจึงสำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลทั้งที่ยังไม่ได้บวช นางจึงจัดการเผาศพลูกน้อยของนางแล้วเดินอย่างมีความสุขไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้วหรือ”
นางกราบทูลตอบว่า “ไม่ได้พระเจ้าค่ะ เพราะแต่ละบ้านล้วนแต่เคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น บัดนี้ หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย วันหนึ่งหม่อมฉันก็ต้องตายเช่นกัน หม่อมฉันปลงได้แล้ว มองเห็นความจริงแล้ว ไม่เศร้าโศกเสียใจแล้ว”
การตายของบุตรตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิดได้แล้วนางจึงสำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลทั้งที่ยังไม่ได้บวช
เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วพระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้ภิกษุและภิกษุณีทำการอุปสมบท เมื่อทำการอุปสมบทแล้วท่านก็บำเพ็ญจิตภาวนา โดยพิจารณาจากเปลวเทียนในอุโบสถจนได้บรรลุอรหัตผล ท่านได้รับการยกย่องจากองค์พระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง ยิ่งกว่าภิกษุณีรูปใดในพุทธศาสนา
-------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายอปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑
กุณฑลเกสวรรคที่๓, กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ ๒
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีความคารพนอบน้อม: นางกีสาโคตรมีสมัยเป็นฆราวาสนางเป็นคนที่มีความเคารพนอบน้อมต่อสามีบิดา มารดาของสามีอย่างยิ่งตลอดถึงต่อคนทั้งปวง
2. เป็นครูที่ดีของสตรีทั้งหลาย: พระกีสาโคตมีเถรี ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอันขมขื่นมาแล้ว รู้รสชาติแห่งความทุกข์เพราะวิปโยค เมื่อมาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้พบสุขที่แท้จริงแล้ว ก็มีความสงสารเห็นใจผู้ยังอยู่ในห้วงทุกข์นั้น จึงมักเทศน์สั่งสอนผู้คนผู้กำลังทุกข์ ให้หาทางแก้ทุกข์ในทางที่ถูกต้อง
3. เป็นผู้มีชีวิตที่เรียบง่าย: สมัยเป็นฆราวาสนางเป็นสะใภ้ในตระกูลร่ำรวยเมื่อออกบวช กลับสันโดษด้วยปัจจัยสี่
พระกีสาโคตมีเถรีสอนในเรื่องใด
พระพุทธองค์ทรงแนะอุบายคลายความทุกข์โดยการให้นางไปเสาะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย ปรากฏว่านางต้องผิดหวังเพราะทุกบ้านนั้นก็ล้วนแต่มีคนตายทั้งสิ้น ในที่สุดนางจึงได้ข้อสรุปว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือสิ่งมีชีวิต ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย การตายของบุตรตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิด ...
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่างของพระกีสาโคตมีเถรี คืออะไรบ้าง
การได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเอตทัคคะ พระกีสาโคตมีเป็นผู้เคร่งครัดในการบริโภคใช้สอยเครื่องบริขาร พระพุทธเจ้าจึงทรงแต่งตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะให้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีรูปอื่น ๆ ในด้านการทรงจีวรที่เศร้าหมอง ๒. คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ๑) ท่านเป็นผู้มีความฉลาด มีเหตุผล รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบกาย
พระกีสาโคตมีเถรีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรกเนื่องจากสาเหตุใด
นางกีสาโคตมีได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ซึ่งในพระสูตรและอรรถกถามิได้ระบุว่าคือใคร แต่สันนิษฐานว่าคงเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธเจ้า เพราะเขาแนะนำให้นางกีสาโคตมีเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า ทั้งยังสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นนายแพทย์ที่ประเสริฐ สุด” (ขุ.อป.33/ 77/ 465) เมื่อนางกีสาโคตมีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอยารักษา ...