วิธีแก้อาการ กรดไหลย้อน
สอบถามผู้มีประสบการณ์หน่อยค่ะ
ใครเคยเป็นกรดไหลย้อนบ้างค่ะ อาการมันทรมานมากจริงๆจุกอยู่ที่คอ กินอาหารมากก็ไม่ได้ หายใจไม่สะดวก อยากรู้วิธีแก้หรือยาดีๆค่ะ
0
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
น้ำว่านหางจระเข้ช่วยรักษากรดไหลย้อน
3 สมุนไพรรักษากรดไหลย้อน
ด้วยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้างไปชมกันเถอะค่ะ
1. ขมิ้นชั้น
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนมีฤทธิ์ขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี สรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน อีกทั้งยังช่วยต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่
2.ใบกะเพรา
แค่เคี้ยวใบกะเพราหลังมื้ออาหารจะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารให้มีความเป็นกลางมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยร่างกายในการดูดซึมอาหารให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันกรดไหลย้อนและการเกิดแผลในทางเดินอาหาร
3.ว่านหางจระเข้
วุ้นว่านหางจระเข้เมื่อรับประทานจะสามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ดี โดยจะช่วยสมานแผลในกระเพาะได้เร็วขึ้น และช่วยบรรเทากรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยบำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน ดูดพิษร้อนภายในร่างกาย รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคลำไส้ได้ดีอีกด้วย
#ทำไม พืชสมุนไพรอย่าง #น้ำว่านหางจระเข้ จึงสามารถช่วย #รักษากรดไหลย้อน ได้ ?
#คำตอบก็คือ ส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในว่านหางจระเข้
ที่เรียกว่า #สารโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการ
รักษาและสมานแผลในหลอดอาหาร
กระเพาะอาหาร
และลำไส้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนเนื่องจากกรดไหลย้อน ที่มาจากกระเพาะอาหารได้ #น้ำว่านหางจระเข้ จึงเปรียบเสมือนยา #รักษากรดไหลย้อน ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมจากธรรมชาติ
การทานเพื่อรักษาอาการกรดไหลย้อนนั้น ควรเลือก
ทานน้ำว่านหางจระเข้ที่ปลอดจากสารเคมีตกค้าง ไม่ใส่
สี สารกันบูด หรือสารปรุงแต่ง
น้ำว่านหางจระเข้ ของเฮ็ลธ์ฟู้ดส์ //bit.ly/34T0GPy เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่คัดสรรว่านหางจระเข้สายพันธุ์ที่ดีที่สุด ชื่อ"บาร์บาเดนซิส" ซึ่งอุดมไปด้วย #สารโพลีแซคคาไรด์ จำนวนมาก ที่สำคัญคือผ่านการปลูกแบบออแกนิกส์ พิถีพิถันทุกขั้นตอนตั้งแต่การปอกเปลือกไปจนถึงการบรรจุลงขวด เพื่อให้ได้ #น้ำว่านหางจระเข้ที่สดใหม่ อัดแน่นด้วย คุณค่าของว่านหางจระเข้แบบเต็มร้อย
รวมทั้งไม่ใส่สารกันบูด ไม่ใส่สี ไม่ผสมน้ำผลไม้ ทำให้มั่นใจได้ว่า ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เหมือนได้ทานว่านสดๆ เลยล่ะคะ
จากธรรมชาติจริงๆ
สนใจสอบถามวิธีการดื่มเพิ่มเติม
แอดไลน์ healthfoodsNetwork : //lin.ee/tfjeDvk
หรือโทร. 02-50888000
ความรู้นี้เราขอแชร์ไว้เป็นวิทยาทานนะคะ
กรดไหลย้อน อาการของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย เนื้อหาต่อไปนี้ คืออาการที่เราเป็น และวิธีรักษาของเราค่ะ
อาการ : เหมือนมีอะไรกดทับที่ลิ้นปี่ หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ ต้องนอนตะแคงซ้ายจะช่วยมาก กินแล้วอาหารไม่ย่อย มีลมอยู่ภายในเยอะ มีอาการเรอ ซึ่งเกิดจากกระเพาะ หรือลำไส้ ที่อ่อนแอทำงานไม่ปกติ เมื่ออาหารไม่ย่อย มีแบททีเรียตัวไม่ดีเยอะ ก็เกิดลมขึ้นมาได้
วิธีแก้ไข :
1. ให้แก้ที่ลำไส้เป็นอันดับแรก คือการขับถ่ายทุกวัน ดีท็อกลำไส้ เพิ่มจุลินทรีย์ดีๆเข้าไป ภูมิคุ้มกันในร่างกาย 70%อยู่ที่ลำไส้ ถ้าลำไส้ดี อะไรก็ดีตามมา
2. แก้ที่กระเพาะอาหาร แต่ต้องใช้เวลา 1-3 เดือน ปรับพฤติกรรม
-รักษาแบบธรรมชาติ คือกินอาหารให้เป็นยา (กรณีไม่กินยาลดกรด)
-กินยาลดกรด แต่จะมีผลกระทบตามมา เมื่อไม่มีน้ำกรด อาหารจะย่อยยากและช้า กินแล้วนั่งไม่ได้ แต่กระเพาะอาหารจะได้พักผ่อน
จะกินยาลดกรดหรือไม่ ให้สังเกตุอาการของตนเองเบื้องต้น และพฤติกรรมการกินอาหาร
ถ้าไม่ได้กินเหล้า กินยาที่กัดกระเพาะแรงๆ น้ำอัดลม อาหารเผ็ดจัด ให้ปรับพฤติกรรมและรักษาแบบธรรมชาติก่อน
การส่องกล้องจะทำให้วินิจฉัยโรคได้ชัดเจน ไม่เสียเวลา ถ้าไม่ได้เป็นแผลหรืออักเสบเล็กน้อย ไม่ต้องกินยาได้ จะดีกว่า
ถ้าเป็นแผลหรืออักเสบ เห็นผลจากการส่องกล้องแล้ว จะได้รักษากินยาตามที่หมอสั่งได้
ทำความเข้าใจเรื่องการเพิ่ม/ลดกรด :
1. ถ้ากระเพาะอาหารมีแผล หรืออักเสบ ให้ลดกรด ห้ามกินอาหารต่างๆที่เป็นกรด จะไปกัดแผลในกระเพาะให้มากขึ้น
2. ถ้ากระเพาะหายดีแล้ว จึงกินกรดได้ เช่นสัปปะรด ช่วยย่อย
คนที่กิน apple cider แล้วอาการดี เพราะกรดไปช่วยย่อยอาหาร อาการอึดอัดก็หายไป แต่ถ้าเป็นแผลอยู่ก็กินแล้วย่อยดีแต่แผลก็ไม่หายสักที ทำให้เรื้อรัง
- apple cider ตัวนี้ต้องระวัง เป็นกรด ถ้าผสมน้ำดื่มจะ กัดเคลือบฟัน เรากินแล้วแสบท้อง คนที่กระเพาะมีแผลหรืออักเสบอย่าเพิ่งกิน รอแผลหายก่อน หรือผสมในอาหารจะปลอดภัยกว่า
ประสบการณ์รักษาของเรา
1. เรารักษาที่ศิริราชปิยะมหาราชการุณย์ ได้ 2 อาทิตย์เพราะหมอจ่ายยาอย่างเดียว ไม่ได้ให้ปรับพฤติกรรม ไม่ดีขึ้น ก็เลยหยุดยา
2. ไปกินยาแผนไทย 2 อาทิตย์ คือ ยาหอม ขมิ้นชัน + ปรับพฤติกรรมแล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
3. ไปหาหมออีกรอบ รพ.เดิม แต่เปลี่ยนหมอ เค้าเปลี่ยนยาให้ กินยา+ ปรับพฤติกรรม 1 เดือน ก็ทำให้อาการดีขึ้นได้ (หมอให้เอกสารมาอ่านอยู่ด้านล่าง)
4. หาหมอจีน แต่อาการหนักขึ้น
สาเหตุหลักๆ เครียด(สาเหตุของโรคกระเพาะ) กินแล้วนอน กินไม่ตรงเวลา กินเยอะเกินไปโดยเฉพาะมื้อเย็น (ทำให้กระเพาะไม่มีแรงย่อย) กินอาหารแสลงต่อโรค ขับถ่ายไม่ดี เครียดแล้วน้ำกรดหลั่ง ไม่มีอะไรรองรับ
กระเพาะไม่ปกติ ทำให้ย่อยไม่ดี กินอะไรก็อิ่มง่าย ลมเยอะ พอกินได้น้อยก็ส่งผลต่อระบบขับถ่ายทำให้ท้องผูกตามไปอีก
วิธีการรักษา :
ต้องรักษาทั้ง 3 ส่วนพร้อมกัน ใครที่กินแค่ยาลดการหลั่งกรดอย่างเดียวไม่พอนะ แล้วต้องปรับพฤติกรรมอีกเยอะ
1. กระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล - กินยาลดการหลั่งกรด ไม่มีกรด แผลในกระเพาะก็จะได้หายเร็วๆ
2. สำไส้ - แก้เรื่องลม + ขับถ่าย + กินจุลินทรีย์ probiotic อาหาร prebiotic ทุกวัน
3. ปรับพฤติกรรม
- ขับถ่ายทุกวัน ทำลำไส้ให้สะอาด ไม่มีของเน่าเสีย
-ปรับพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่เวลาตื่น เวลากิน กินตรงเวลา โรคนี้ถ้าทำตัวดีจะหายเร็วขึ้น
-กินจุลินทรีย์ดีๆมาช่วยต่อสู้ probiotic แบบผง แบบเม็ด หรือยาคูลท์ ช่วยย่อย อาหารไม่ค้างคาในกระเพาะกับลำไส้ก็จะไม่เกิดลมเยอะ (ลมเกิดเพราะจุลินทรีย์ไม่ดีเยอะ) probiotic แบบผงออกฤทธิ์ดีสุด ที่ศิริราชจ่าย ts6 , probac7
- นวด ถ้าลมเยอะ ร่างกายมีส่วนใดเกร็ง คือ ลมไปอุดไว้ ให้นวดไล่ลมทั้งตัว ศึกษาเพิ่มจากแผนจีนหัวเฉียว ดู ที่นี่
ท่านวดที่ทำแล้วลมออกเยอะ เรอและตด คือ นวดตามเข็มนาฬิกา จากลิ้นปี่-ใต้สะดือ เอามือวางแล้วลูบเบาๆ
- ห้ามเครียด ยิ่งเครียดน้ำย่อยยิ่งหลั่ง ถ้ารู้ตัวว่าน้ำย่อยในกระเพาะหลั่งระหว่างวันให้กินน้ำเปล่าลงไปเจือจาง กระเพาะจะได้ไม่เป็นแผล
(โรคนี้ทำให้วิตกกังวล กลัวว่าจะเป็นนู้นนี่ ทำให้เครียดกว่าเดิม)
- อาหารย่อยง่าย-ยาก ต้องรู้ก่อนกิน ไม่กินที่ย่อยยาก จดบันทึกทุกวัน กินอะไรไปแล้วจุกเพิ่มขึ้น จดรายการอาหารแสลงของตัวเองออกมา (แต่ละคนไม่เหมือนกัน)
-มีวินัยชัดเจน 2-3 เดือนอย่างเคร่งครัด หายเร็ว
พอลมไม่เยอะ ก็ไม่มีอะไรดันน้ำกรดขึ้นมาได้ อาหารมีกากใยก็จะทำให้ไม่ท้องผูก มื้อเช้ากินเยอะ มื้อเย็นกินน้อยๆ ไม่กินของย่อยยาก
วิธีรักษาแบบธรรมชาติ ที่เรากินแล้วดีนำมาแนะนำต่อดังนี้ :
- ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้าตื่นนอน 1-2 แก้ว ปรับสมดุล
- กระเจี๊ยบเขียวต้ม**(ต้องกิน เพราะดีมาก กินแล้วจะตด เพราะขับลมจากลำไส้) หรือ ผักปลัง พวกผักมีเมือก ช่วยเคลือบกระเพาะอาหารพร้อมลำไส้ ดีท็อกลำไส้
- กล้วยน้ำว้า** กินทุกวันตอนเช้าสัก 2 ลูก ก่อนอาหาร
- probiotic*** เช่น ยาคูลท์ (จุลินทรีย์ที่แข็งแรง คาเซอิ 8,000ล้านตัว) หลังกินข้าว 30 นาที ทุกวัน(ถ้ากระเพาะอ่อนแอจะกินเย็นไม่ได้ เอาออกมาวางให้คลายความเย็นก่อน ) ช่วยย่อยและทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นจะขับลม ตดออกมา กิน 1-2 ขวด
- เม็ดแมงลัก* ขับอุจจาระเก่าที่ติดค้างในผนังลำไส้+ไขมันออก ทำให้ถ่ายสุด (เม็ดต้องแช่น้ำให้พองตัวเต็มที่ ให้กินผสมน้ำ ใส่น้ำเยอะมากๆ) เพิ่มกากอาหาร
- น้ำผึ้ง** ช่วยสมานแผล เจ็บคอ มีแผล แก้อักเสบ กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ครึ่งช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่นเล็กน้อย 1 แก้ว ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
- มะละกอสุก** ทำให้ขับถ่ายดี ลำไส้บีบตัวดี เพิ่มกากใย กินหลังอาหารจะช่วยย่อยทำให้ไม่แน่น
- ว่านหางจระเข้* ซื้อแบบสดมาปอกกินเอง ลดการอักเสบของกระเพาะอาหารได้ (ล้างให้สะอาด ไม่มียางเหลืองๆนะ )
- ยำผักเกาหลี* ผักสลัดหรือผักต้ม ใส่น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ (น้ำตาล เกลือ เล็กน้อย) จัดการแบททีเรียตัวที่ไม่ดีให้มึนงง ก็จะไม่ผลิตก๊าซออกมา กินพร้อมมื้ออาหารสดชื่นมาก สบายท้อง หลังกินข้าวจะไม่มีลมมหาศาลตามมา
- ดอกชมจันทร์* เป็นยาระบายอ่อนๆ ไม่ต้องเอาเกสรออก แต่กินครั้งละ 6-7 ดอก จะถ่ายธรรมดา (ถ้ากินเยอะจะถ่ายเป็นน้ำ สำหรับคนที่ต้องการดีท็อกลำไส้) ถ้าไม่ต้องการถ่ายให้เอาเกสรออก
- กิมจิทำเอง* probiotic ธรรมชาติอย่างดี ไม่แสบท้องด้วย
- ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เพิ่มกากใยอาหาร ช่วยขับถ่าย และมีวิตามิน B แต่ถ้ามื้อเย็นกินน้อยๆ กินข้าวขาวแทนจะย่อยง่ายกว่า
- จิบน้ำบ่อยๆระหว่างวัน และตอนที่รู้สึกว่าน้ำกรดหลั่ง (น้ำจะเจือจางกรดไปเอง)
- ข้าวโอ๊ต ธัญพืชชงดื่ม เพิ่มกากใยอาหาร ตอนเช้า
- กินอาหารย่อยง่าย ไม่ปรุงเยอะ อาหารธรรมชาติ ต้มนึ่ง ไม่มีน้ำมัน ไม่แปรรูป ไม่มีสารกันบูด เช่น ผลไม้ ข้าวกล้อง ปลา ผักต้ม
- ช่วงแรกๆที่เป็นหนัก กินอะไรแทบไม่ได้ นิดเดียวก็ไม่ย่อย มีลมเยอะ กินอะไรก็ไม่ย่อย ให้กินผลไม้ในมื้อเย็น(่ที่ไม่เป็นกรด)
- เครื่องต้มยำ (ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด) ช่วยขับลม
- อาหารอื่นๆ ที่มีจุลินทรีย์ เช่น มิโสะ กิมจิ
- น้ำใบบัวบก มีฤทธิ์เย็น แต่ภายในเราร้อนเลยกินแล้วดี เห็นผลตั้งแต่วันแรก คือหายใจได้ลึกขึ้น จากเดิมที่มีแรงกดทับ (แต่ไม่กินติดต่อกัน นานๆที)
กล้วยดิบ
- กล้วยดิบ 2 แว่นบางๆ(ไม่ใช่กินทั้งลูก ทำให้ท้องผูก) ใส่น้ำผึ้ง ก่อนอาหาร 30 นาที (แต่มีคนบอกว่า ทำให้ลำไส้ดูดซึมยาได้ไม่ดี ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า เพราะยางไปเคลือบไว้ ลองเอากล้วยดิบมาหั่นจนมีน้ำยางติดมือปล่อยให้แห้งสักพัก ก็จะเห็นว่ามันเป็นยางเคลือบๆจริงๆ ดังนั้นใครรักษายาหมอไม่ต้องกิน ถ้าไปทางสมุนไพรไม่กินยาหมอแล้วค่อยกิน เอาไว้กินตอนที่หยุดยาหมอก็ได้ กันแสบกระเพาะ กินสัก 1 อาทิตย์)
สมุนไพรต่างๆ
ต้องทดลองกับตัวเองทีละตัว บางตัวกินแล้วอาจไม่ดีกับเราก็ได้ ลองทีละน้อยๆ เช่น น้ำขิง ขมิ้นชัน กินแล้วไม่มีลมออก จะเป็นหนักกว่าเดิม เพิ่มความร้อนให้ร่างกายที่ร้อนและอักเสบอยู่แล้ว ยิ่งมีลมอยู่ในตัวยิ่งอึดอัดเข้าไปอีก
- การแก้สมดุลร้อนเย็นในร่างกาย ร้อนเกินไปไม่ดี เย็นเกินไปไม่ดี ต้องอยู่กลางๆจะดี แก้ผิดอาการหนักกว่าเดิม
วิธีทดลองกินทีละอย่าง แล้วดูผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง ถ้าผิดทางก็ให้เปลี่ยน เช่น กินร้อนแล้วรู้สึกไม่ดี ก็ให้กินเย็นแทน
อาหารฤทธิ์ร้อน
- ขมิ้นชัน ก่อนอาหาร 15 นาที เพิ่มไฟย่อยให้กระเพาะมีแรงย่อยมากขึ้น
- ยาหอมหลังอาหาร 30 นาที ลดจุกแน่น
(ถ้ากินยา รพ แล้วก็ไม่ต้องกินขมิ้นชัน ยาหอม กล้วยดิบ, แต่เมื่อหยุดยา รพ อาการน้อยลงแล้ว ต้องไม่มีแผลในกระเพาะแล้ว กินพวกนี้ช่วยได้ แต่ไม่กินติดต่อกัน ต้องดูเรื่องฤทธิ์ร้อนเย็น ที่ส่งผลกับร่างกายด้วย กินดู 1 วัน แล้วดูผล ถ้าเริ่มร้อนเกินไปต้องหยุด กินเย็นสลับ ) เรากินขมิ้นชันแล้วไม่เวิร์คร่างกายร้อนมาก เหมือนทำให้อักเสบกว่าเดิม
อาหารฤทธิ์เย็น
กินได้ ถ้าภายในร่างกายเราร้อน บางทีเราไปกินของทอด ก็กินพวก น้ำมะตูม น้ำใบบัวบก น้ำเก๊กฮวย เข้าไปช่วยได้ ไม่กินติดต่อกันหลายวัน
อาหารฤทธิ์เย็น ให้กินตอนที่ไม่ได้ย่อยอาหาร ตอนย่อยต้องการความร้อนในการย่อย(กินฤทธิ์ร้อนตอนนี้ได้)
ถ้ากินอาหารฤทธิ์เย็นเยอะ จะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้อ่อนแอไม่มีแรง
วิธีเช็คความร้อนในร่างกาย
อ้าปาก แล้วเฮ้อใส่มือ เช็คดูว่าร้อนหรือมีกลิ่นมั้ย หรือมีเม็ดร้อนในที่ปาก เอามือจับแขนดูก็ได้ หรือเช็คความร้อนภายในจากปัสสาวะ(ถ้าร้อนมาก ก็ข้างในร้อนมาก)
ของทอด ----> น้ำมันไปเกาะติดผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึมไม่ดี เกิดความร้อนในร่างกาย
สำคัญ :
- ขับถ่ายทุกวัน ดีท็อกลำไส้ โดยอาหารต่างๆที่ช่วยขับถ่าย
- เดินจงกลมทันทีหลังกินข้าวเสร็จ 30นาที - 1 ชั่วโมง ช่วยย่อย
- นั่งสมาธิ ฝึกหายใจยาว ฟังธรรมะ ไม่เครียดไม่กังวล
- กินข้าวเย็นเร็วขึ้น อย่ากินเยอะ เรากินเวลา 16.00-18.00
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียด คำละ 30 ครั้ง+ ยิ่งดี เมื่ออาหารเหลวหมด กระเพาะอาหารก็แทบไม่ต้องออกแรงทำงานมาก
-ห้ามกินอะไร ก่อนนอน 4 ชม.***
-ตอนกินข้าวไม่กินน้ำ จะกินหลังกินข้าวเสร็จ 30นาที หรือ 1 ชม (น้ำจะไปเจือจางน้ำย่อย ทำให้ย่อยไม่เต็มที่)
-ของทอด เบเกอร์รี่ กะทิ ของมันๆ ย่อยยาก งดไปก่อน
-โกโก้ ทำให้หูรูดคลายตัว (หมอบอก)
- ไม่ดื่มน้ำเย็น กระเพาะเราต้องการไฟ คือความอบอุ่นอยู่เสมอ ยิ่งถ้ากระเพาะมีแผล นึกถึงเตาร้อนๆ แล้วราดน้ำเย็นลงไป ก็ทำให้ระบบย่อยอ่อนแอ
-ทานอาหารให้เป็นเวลา +-ได้ 1 ชั่วโมง (เรากิน 2 มื้อ คือ 9.00-12.00, 16.00-18.00)
- ตอนนอน เอาหนังสือวางที่ขาหัวเตียง ให้เตียงชี้สูงเอนขึ้น
- ออกกำลังกาย ให้ร่างกายหลั่งสารดีๆออกมารักษาตัวเอง ท่าที่ไม่ก้ม โยคะ หรือ ไทเก๊ก ก็ได้ วิ่งก็จะช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานได้ดี
- จดลิสต์รายการอาหารที่กินในแต่ละวัน ว่าเกิดผลกับโรคอย่างไรบ้าง
- อาหารแสลง กินอะไรแล้วรู้สึกไม่ดีให้จดบันทึกไว้ อย่างตับปิ้ง(ไขมันสูง) มาม่า(ย่อยยาก) กะทิ ข้าวเหนียว ทาโกะยากิ ขนมบ้าบิ่น ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ ปลาหมึก พวกที่เหนียวๆหนืดๆ จะย่อยไม่ได้ ใช้มีดหั่นยังไม่ออก พวกนี้กินแล้วอาการหนัก ย่อยยาก-ไม่ย่อย , พริก ทำให้แสบ ท้อง
- อาหารที่อยากกิน ทดลองกิน ให้กินมื้อเช้า ให้กินแต่น้อยๆดูก่อน
- กรณีที่จุกแน่น ให้ทยอยกินอาหารแบบ แบ่งมื้อเล็กๆ เช่นมื้อเช้า 9 โมง กินกล้วย 2 ลูก+ ขนมปัง ผ่านไป 1 ชั่วโมงค่อยกินข้าว อย่ากินอัดๆลงไปพร้อมกันหมด มันจะคาในกระเพาะแล้วเกิดลมเยอะ
- มื้อเย็นกินน้อย เพราะอาหารจะอยู่ในกระเพาะ 6 ชั่วโมง กินแบบย่อยง่ายก็จะเร็วกว่านั้น จะหลับได้สบาย
- เช้า-เที่ยง กินเยอะได้สารอาหารเต็มที่ มื้อเย็นกินน้อย เรากินผลไม้ กระเพาะได้พักนานๆ ทำงานน้อยจะหายเร็ว แต่ถ้าวันไหนทำงานหนัก หิวมากก็กินไม่ใช่ไปอด