โดยปกติทำงานประจำก็ต้องยื่นภาษีหากต้องเสียภาษี ก็เป็นการเสียภาษีในรูปแบบเงินได้บุคคลธรรมดา
และเมื่อมีรายได้เพิ่มมาจากการ “ขายของออนไลน์” ก็เป็นการเสียภาษีในรูปแบบบุคคลธรรมดาเช่นกัน ถือว่าเป็นรายได้ของบุคคลคนเดียวกัน
แต่แตกต่างกันที่ประเภทของรายได้ !!
1. หากมีรายได้หลายทางแล้วล่ะก็ คำถามแรกที่เราต้องถามตัวเอง คือ รายได้แต่ละประเภทของเรานั้น ถือเป็นเงินได้ประเภทไหนตามประมวลรัษฏากรบ้าง ปัจจุบันนี้ เงินได้ทางกฎหมายถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฏากร ตามนี้
▪️ เงินได้ประเภทที่ 1 คือ เงินได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน โบนัส ต่างๆ
▪️ เงินได้ประเภทที่ 2 คือ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ เช่น ค่านายหน้า งานที่รับจ้างทำตามสัญญาจ้างเป็นครั้งคราวไป
▪️ เงินได้ประเภทที่ 3 คือ เงินได้ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะ เป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
▪️ เงินได้ประเภทที่ 4 คือ ดอกเบี้ย เงินปันผล
เงินส่วนแบ่งกำไรต่างๆ
▪️ เงินได้ประเภทที่ 5 คือ เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินต่างๆ
▪️ เงินได้ประเภทที่ 6 คือ เงินได้จากวิชาชีพอิสระต่างๆ เช่น วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลป (แพทย์) วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นที่กฎหมายกำหนด
▪️ เงินได้ประเภทที่ 7 คือ เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระ ในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ เช่น การรับเหมาก่อสร้าง
▪️ เงินได้ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร
การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือเงินได้อื่นๆที่ไม่ได้ระบุไว้ใน 7 ประเภท
2. รายได้จากเงินเดือน คือรายได้ประเภทที่ 1 ส่วนรายได้จากการขายของออนไลน์ คือเป็นรายได้ประเภทที่ 8 เป็นรายได้ที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีจึงต้องยื่นภาษี
3. มนุษย์เงินเดือนที่ทำการขายของออนไลน์ จะเสียภาษีในรูปแบบ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
4. การคำนวณภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดาของ “มนุษย์เงินเดือนที่ทำการขายของออนไลน์” มี 2 วิธี เป็นทางเลือก คือ
วิธีที่ 1️
คำนวณภาษีแบบขั้นบันได
หลักการ : (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
สำหรับพนักงานประจำที่ขายของออนไลน์ไปด้วย ถือว่ามีรายได้ 2 ประเภท แต่ละประเภทนำมาหักค่าใช้จ่ายต่างกัน
▪️ รายได้จากงานประจำ (ประเภทที่ 1) หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
▪️ รายได้จากขายของออนไลน์ (ประเภทที่ 8) มี 2 วิธี
วิธีแรก หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60%
ใช้ได้ในกรณีที่ขายของออนไลน์แบบซื้อของมาขาย
วิธีที่สอง หักค่าใช้จ่ายตามจริง ใช้ในกรณีที่ผลิตสินค้าเอง แต่วิธีนี้จะต้องมีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และเก็บเอกสารอย่างรอบคอบ
ตัวอย่างการคำนวณหักค่าใช้จ่าย
เงินเดือน : 30,000/เดือน รายได้ต่อปี 30,000×12 = 360,000 หักค่าใช้จ่าย 360,000-100,000 = 260,000 บาท
เงินจากการขายของออนไลน์: 70,000/เดือน รายได้ต่อปี 70,000×12 = 840,000 หักค่าใช้จ่าย 60% 840,000-504,000 = 336,000 บาท
หลังจากนั้นก็ให้นำเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน แล้วค่อยนำไปหักค่าลดหย่อน (260,000+336,000 = 596,000 บาท) ให้นำ (596,000 – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย!!
วิธีที่ 2️ คำนวณภาษีแบบเหมา
เงินได้ x 0.5% จะสามารถใช้วิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนเกิน 1 ล้านบาทต่อปี
สำหรับใครที่มีรายที่ไม่ใช่เงินเดือนเกิน 1 ล้านบาท (เข้าเกณฑ์วิธีที่ 2) ต้องคำนวณดูทั้ง วิธีที่ 1 และวิธีที่ 2 ควบคู่กันไป วิธีไหนได้ภาษีที่ต้องจ่ายมากกว่า ก็ให้ใช้วิธีนั้นในการคำนวณ
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มีเงินได้หลายทาง
ก็คือ
▪️ การตรวจสอบข้อมูลเงินได้และค่าใช้จ่ายของตัวเองให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะคำนวณภาษีนั่นเองครับ
▪️ และถ้าเรามีเงินได้อื่นนอกจากเงินเดือน เราต้องใช้แบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 90 ในการยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ใช่ แบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 91
ถ้ายังไม่แน่ใจ มีข้อสงสัย
คลิกทางนี้เลย : //rd.go.th/272.html
ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล
|
17 มี.ค. 2565 เวลา 22:05 น. 2.9kยื่นภาษีปี 2564 สำหรับคนที่ทำงานหลายอาชีพ มีรายได้จากหลายทาง เช่น รับจ้างทั่วไป รับงานอิสระ หรือขายของ รวมไปถึงการเข้าร่วมโครงการภาครัฐฯ คนละครึ่ง เราชนะ หรือเรารักกัน จะต้องเสียภาษีอย่างไร เกณฑ์การเสียภาษี วิธีคำนวณภาษี ยื่นแบบเมื่อไร สรุปมัดรวมที่นี่
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจอาจไม่มีความมั่นคง
มนุษย์เงินเดือนที่เคยได้รับรายได้ก็อาจไม่มีความแน่นอน ทำให้หลายคนหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเช่น รับจ้างทั่วไป รับงานอิสระ หรือขายของ รวมไปถึงการเข้าร่วมโครงการภาครัฐฯ คนละครึ่ง เราชนะ หรือเรารักกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นรายได้ประเภทใดก็ตาม ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่นแบบฯ เสียภาษี
และเข้าโค้งท้ายของการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2564 สำหรับผู้ที่ทำงานหลายอาชีพและมีรายได้หลายทาง กรมสรรพากร ได้แนะนำแนวทางการยื่นเสียภาษีว่า ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่ารายได้ที่ได้รับจัดเป็นรายได้ประเภทไหน สามารถหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีใด้เท่าไร และเรามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง ต้องรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเตรียมไว้ให้ครบ แล้วนำมายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ประเภทรายได้
- 1.เงินเดือน มาตรา 40 (1) การหักค่าใช้จ่าย หักเหมา 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- 2.รับจ้างทั่วไป รับงานอิสระ มาตรา 40 (2) การหักค่าใช้จ่าย หักเหมา 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- 3.ขายสินค้า มาตรา 40 (8) การหักค่าใช้จ่าย หักเหมา 60% หรือหักตามจริง (มีเอกสารหลักฐาน)
นอกจากนี้หากมีรายได้จากการขายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการรัฐ เช่น เราชนะ คนละครึ่ง ม.33 เรารักกัน เป็นรายได้ที่ต้องนำมายื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
- 1. เงินที่ได้จากลูกค้าผ่านโครงการรัฐ
- 2. เงินสนับสนุนที่ได้จากรัฐ
- 3. เงินได้ที่มาจากยอดขายอื่น ๆ
เกณฑ์การเสียภาษี
- คนโสด มีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี
- มีคู่สมรสรายได้รวมกัน 120,000 บาทต่อปี
วิธีคำนวณภาษี
- วิธีปกติ = รายได้สุทธิ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- หากมีรายได้มากกว่า 120,000 บาทต่อปี (ไม่รวมเงินเดือน) ใช้สูตรคำนวณ = รายได้สุทธิ x 0.5% แล้วเปรียบเทียบกับวิธีคำนวณตามปกติ หากวิธีนี้มีภาษีเกิน 5,000 บาทให้เสียภาษีตามวิธีที่สูงกว่า (หากไม่เกิน 5,000 บาทให้เสียภาษีตามวิธีการคำนวณปกติ)
กำหนดเวลายื่นแบบ ฯ
- ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด.94 กำหนดยื่นตั้งแต่ 1 กรกฏาคม- 30 กันยายน ของปีนั้นๆ โดยนำเงินได้ที่ไม่ใช้เงินได้ มาตรา 40 (1) (2) ตั้งแต่เดือน มกราคม - มิถุนายน ของปีนั้นมารวมคำนวณภาษี
- ภาษีประจำปี ภ.ง.ด.90 กำหนดยื่นตั้งแต่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม ของปีถัดไปโดยนำเงินได้ทุกประเภท ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ธ.ค. ของปีนั้น มารวมคำนวณภาษีและนำภาษีที่ชำระตาม ภ.ง.ด.94 มาเครดิตภาษีได้
อย่างไรก็ตาม ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต่างๆ หรือผู้ที่มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการเกินปีละ 1.8 ล้านบาท ต้องยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านเว็บไซต์สรรพากร www.rd.go.th
ทั้งนี้เมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วมีหน้าที่
1.เมื่อขายสินค้า/บริการ จะต้องออกใบกำกับภาษีและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าเพื่อนำส่งสรรพากร
2.ต้องจัดทำรายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ และยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
อ้างอิงข้อมูล : กรมสรรพากร