กรมควบคุมโรค ห่วงใยผู้สูงอายุไทย ซึ่งมีสถิติหกล้มปีละ 3 ล้านราย สาเหตุหลักเกิดจากการลื่น สะดุดล้ม จึงขอแนะนำให้เลือกสวมใส่รองเท้าที่พื้นมีดอกยาง ไม่ลื่น สะดวกต่อการเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมทั้งให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายเสริมแรงต้าน และประเมินความเสี่ยงการหกล้มอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
วันที่ 14 มิถุนายน 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น จากสถิติในปี 2564 มีจำนวนสูงกว่า 12 ล้านคน เรื่องที่น่าเป็นห่วงของวัยนี้คือการพลัดตกหกล้ม ในแต่ละปีจะพบอุบัติเหตุผู้สูงอายุหกล้มประมาณ 3 ล้านราย และบาดเจ็บต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 60,000 รายต่อปี
โดยมีผู้เสียชีวิตจากการหกล้มเฉลี่ย วันละ 4 ราย และยังเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดความพิการ ส่งผลกระทบต่อจิตใจ หวาดกลัวการหกล้ม และต้องพึ่งพาผู้อื่น ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น กระทบต่อเศรษฐกิจของครอบครัวและสังคม ซึ่งการพลัดตกหกล้มมักเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ร้อยละ 80 โดยจุดเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังคือ พื้นเปียก ลื่น รวมทั้งเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม คือรองเท้าที่สวมใส่ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นมีดอกยาง เพื่อป้องกันการลื่น
แพทย์หญิงศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวว่า ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการพลัดตกหกล้มได้ โดยมีคำแนะนำ ดังนี้
1.ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก ยกขวดน้ำ การใช้ยางยืด หรือการดันน้ำหนักกับเก้าอี้หรือผนังที่มั่นคง ครั้งละ 30 นาที และไม่น้อยกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์ จะทำให้มีมวลกล้ามเนื้อ แข็งแรงขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และการทรงตัวดีขึ้น
2.หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น
3.ควรสวมรองเท้าหุ้มส้น พื้นมีดอกยางกันลื่น สามารถเคลื่อนไหวก้าวเดินได้สะดวก
4.ผู้ที่มีความบกพร่องในการเดินหรือการทรงตัว ควรใช้อุปกรณ์ช่วยเดินช่วยพยุง เช่น โครงเหล็กช่วยเดิน/ไม้เท้า
5.ควรเลี่ยงการเดินขึ้น-ลง บันได
6.หากหกล้ม ขยับไม่ได้ ให้ญาติหรือผู้ดูแลโทร 1669 แจ้งขอความช่วยเหลือจากระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน
และประการสำคัญ ผู้สูงอายุควรเข้ารับการตรวจประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มปีละ 1 ครั้ง ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านทุกแห่ง ซึ่งจะทำการคัดกรองโดยการซักประวัติการหกล้ม การประเมินสมรรถภาพทางกาย พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ร่วมกับเครือข่ายขับเคลื่อนการดำเนินงานและได้จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันการพลัดตกหกล้ม ภายใต้แนวคิด “ดูแลเท้า เดินมั่นคง ห่างไกลล้ม” จึงขอเชิญชวนเครือข่ายและประชาชนผู้สนใจ ออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านพร้อมกันทั่วประเทศ พร้อมด้วยสาระน่ารู้ในการดูแลเท้า การเลือกรองเท้า ผ่าน Facebook Live “กองการป้องกันการบาดเจ็บ” ในวันที่ 14 มิถุนายน 2565 เวลา 9.00-11.00 น.
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองป้องกันการบาดเจ็บ โทร 0 2590 3955 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
ประชุมอบรมพัฒนาศักยภาพการป้องกันโรคไตในชุมชนระยะขยายผล
----------------------
ผ่านระบบ Zoom Application
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยสำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขต สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพเขต โรงพยาบบาลในเครือข่ายและคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ระดับอำเภอ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน และขยายผลรูปแบบการป้องกัน
โรคไตเรื้อรังภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอและชุมชน
รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้รูปแบบการดำเนินงานโครงการป้องกันโรคไตในชุมชน
โดยได้รับเกียรติจาก นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการประชุมฯ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564
ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
ดาวน์โหลด
แสดงความคิดเห็น
กิจกรรมทางกาย กิจกรรมดีดี เพื่อสุขภาพที่ดี
ปัจจุบันการวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนได้เปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นทำให้ประชาชนขาดการเคลื่อนไหวออกแรงในชีวิตประจำวันและขาดการออกกำลังกาย ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ติดต่อ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ การป้องกันที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งคือการสร้างสุขภาพดี ด้วยการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมทางกายหรือการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ ซึ่งต้องเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมวัยด้วย
การทำกิจกรรมทางกายหรือการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำเป็นส่งผลต่อการมีสุขภาพดังนี้
- ควบคุมน้ำหนัก
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง
- สร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
- ช่วยให้มีสุขภาพดี
- สร้างทักษะการเคลื่อนไหวป้องกันการบาดเจ็บจากการหกล้มในวัยผู้ใหญ่และวัยผู้สูงอายุ
กิจกรรมทางกายหรือการเคลื่อนไหวร่างกาย (Physical activity) คืออะไร?
หมายถึง การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อลาย และทำให้มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติขณะพัก การเคลื่อนไหวร่างกายสามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็น 4 ประเภท ตามบริบทที่กระทำได้แก่
1. การทำงานประกอบอาชีพ (Occupational activity ) เช่น หาบขนมขาย ขนของขึ้นลง ถีบสามล้อ เกี่ยวข้าว ฯลฯ
2. การทำงานบ้าน/งานสวน/งานสนาม ในบริเวณบ้าน (Household activity) เช่น ทำงานบ้าน ทำครัว ล้างถ้วยชาม
เช็ดถูกระจก ล้างขัดพื้น ถูบ้าน เก็บเกี่ยวดอกไม้/ผลไม้/ผัก ขุดดิน ตัดแต่งกิ่ง ดายหญ้า ฯลฯ
3. การเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่เหนึ่ง (Transportation activity) เช่น เดินไปทำงาน ถีบจักรยานไปทำงาน เดินไปทำธุระ เดินขึ้นบันได ฯลฯ
4. การทำกิจกรรมในเวลาว่าง หรืองานอดิเรก (Leisure time activity) เช่น เดินเล่น เดินทางไกล ถีบจักรยาน ลีลาศ รำมวยจีน เล่นโยคะ วิ่ง/วิ่งเหยาะ เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ และการเล่นกีฬาต่างๆ ฯลฯ ทั้งนี้การทำกิจกรรมในเวลาว่างยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 3 ประเภทได้แก่
4.1 การทำกิจกรรมนันทนาการ (Recreational activity) เช่น เดินเล่น เดินทางไกล ปีนเขา ถีบจักรยาน ว่ายน้ำ
ลีลาศ รำมวยจีน เล่นโยคะ ฯลฯ
4.2 การเล่นกีฬา ( Competitive sports)
4.3 การออกกำลังกายหรือการฝึกฝนร่างกาย (Exercise training) คือ การเคลื่อนไหวร่างกายที่สร้างขึ้นอย่างเป็นแบบแผน กระทำซ้ำๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมสมรรถภาพอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด เป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างหนัก เช่น
เดิน จ้ำ วิ่ง/วิ่งเหยาะ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ กระโดดเชือก กรรเชียงเรือ เล่นกีฬาประเภทฝึกความอดทน ฯลฯ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่ารูปแบบกิจกรรมอาจจะซ้ำซ้อนกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และบริบทที่กระทำกิจกรรมนั้นๆ
ข้อแนะนำในการออกกำลังกายในแต่ละช่วงอายุ
1. อายุ 5-17 ปี สำหรับเด็กและเยาวชนที่มีอายุอยู่ในกลุ่มวัยนี้ กิจกรรมที่เหมาะสมคือ การเล่นกีฬา กิจกรรมนันทนาการ วิชาพละศึกษา หรือการออกกำลังกายที่มีแบบแผน สำหรับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน การทำกิจกรรมดังกล่าวช่วยเสริมสร้างให้ระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กระดูกและกล้ามเนื้อ การเผาผลาญพลังงานในร่างกายดีขึ้น ลดภาวะความเครียด ควรปฏิบัติตาม
คำแนะนำดังนี้
ควรออกกำลังกายแบบสะสมในระดับปานกลางอย่างน้อย 60 นาที/วัน สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่า 60 นาที/วัน
จะส่งผลต่อการมีสุขภาพดี การออกกำลังกายในแต่ละวันควรเป็นแบบแอโรบิคอย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรง
ของกล้ามเนื้อและกระดูก
2.อายุ 18-64 ปี การออกกำลังกายสำหรับผู้ใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มนี้ จะรวมถึง กิจกรรมสันทนาการ วิ่งเดิน ปั่นจักรยาน ทำงาน
ทำงานบ้าน การเล่นกีฬา ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กล้ามเนื้อและกระดูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิด
โรคไม่ติดต่อ ลดความเครียด ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังนี้
- ควรออกกกำลังกายความหนักระดับปานกลาง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์หรือ 75 นาทีสำหรับระดับความหนักมาก
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที
- หากต้องการออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพดีควรเพิ่มการออกกำลังกายความหนักระดับปานกลางแบบแอโรบิค ให้ได้
300 นาทีต่อสัปดาห์หรือ ออกกำลังกายความหนักในระดับมาก 150 นาที ต่อสัปดาห์
3. 65 ปีขึ้นไปการออกกำลังกายสำหรับวัยนี้จะรวมถึงกิจกรรมสันทนาการทั่วไปหรือการทำกิจกรรมในเวลาว่าง การเดิน วิ่ง การทำงานในชีวิตประจำวัน การเล่นกีฬา ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กล้ามเนื้อและกระดูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ลดความเครียด ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังนี้
- ควรออกกำลังกายความหนักระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์หรืออย่างน้อย 75 นาทีสำหรับระดับ
ความหนักมาก
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที
- สำหรับการออกกำลังกายเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับกลุ่มนี้ควรเพิ่มการออกกำลังกายระดับปานกลางให้ได้
300 นาที/สัปดาห์และสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว ควรเพิ่มการออกกำลังกายที่สร้างความสมดุลของร่างกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อป้องกันการหกล้ม หากไม่สามารถทำตามคำแนะนำข้างต้นได้ควรหากิจกรรมอื่นๆที่เหมาะสมกับตนเองทำ
ที่มา
1. //dopah.anamai.moph.go.th/menu_detail.php?id=45 สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2555.
2. Global Reccommendations on Physical activity for Health.(WHO)