การที่คนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้นไม่ใช่แค่พูดก็ทำได้ แต่ต้องมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความเชื่อมั่น ความทุ่มเท รวมถึงเวลาในการฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่อง ระหว่าทางคุณอาจต้องเจอกับอุปสรรคที่ทำให้ไม่กล้าเดินหน้าต่อ แต่หากคุณมีทัศนคติที่ดีไว้ยึดถือและคอยเตือนตัวเอง ก็อาจจะทำให้คุณก้าวผ่านอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งวิธีคิดที่จะพาให้คุณไปสู่ความสำเร็จได้นั้นมีอะไรบ้าง JobThai เอามาบอกกันที่นี่แล้ว
อย่าหนีปัญหาแต่ให้เผชิญหน้า
คนที่ประสบความสำเร็จได้จะไม่กลัวความผิดพลาดหรือล้มเหลว พวกเขาจะกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างที่เข้ามา การหลีกเลี่ยงงานที่ยาก หรืองานที่คุณคิดไปเองว่าเกินความสามารถของตัวเอง จะทำให้คุณไม่ก้าวหน้าไปไหน ถึงแม้บางทีปัญหาที่คุณไม่เคยเจอมาก่อนอาจทำให้คุณล้มเหลวในตอนแรก แต่เมื่อคุณผ่านมันไปได้ คุณจะนึกขอบคุณอุปสรรคเหล่านั้นที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ และเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญสู่ความสำเร็จ
เชื่อในตัวเอง
ถ้าคุณยังไม่มั่นใจในตัวเองแล้วใครจะกล้าเชื่อมั่นในตัวคุณ เมื่อคุณเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในตัวเองหรือในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ นั่นก็เท่ากับคุณประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ความมั่นใจในตัวเองเป็นทัศนคติที่ดีที่จะคอยป้องกันไม่ให้เป้าหมายสู่ความสำเร็จของคุณถูกสั่นคลอนเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย ยิ่งคุณมีความมั่นใจในตัวเองมากเท่าไหร่ คุณก็จะไม่หวั่นไหวในช่วงเวลาที่เลวร้ายมากเท่านั้น
เลือกคบเพื่อนที่ดี
มีคนเคยบอกว่าถ้าเราเอาตัวเองไปอยู่กับคนแบบไหน เราก็จะเป็นแบบนั้น การมีเพื่อนที่ดีรายล้อมรอบข้างจะช่วยส่งเสริมให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีจะเอื้อให้คุณพัฒนาศักยภาพของคุณได้อย่างเต็มที่เพราะคุณจะสามารถเรียนรู้สิ่งดี ๆ ได้จากพวกเขา รวมถึงขอคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ในยามจำเป็น เมื่อเพื่อนร่วมงานในทีมมีคุณภาพ คุณก็จะมีคุณภาพตามไปด้วย
เลือกเป้าหมายด้วยตัวเอง
ไม่มีใครรู้ใจเราดีเท่ากับตัวเราเอง ดังนั้นตั้งเป้าหมายด้วยตัวคุณเอง ให้คุณตั้งเป้าหมายสู่ความสำเร็จที่สอดคล้องกับศักยภาพของตัวคุณเองนอกเหนือไปจากเป้าหมายอื่น ๆ ที่ที่ทำงานหรือสังคมกำหนดบทบาทให้คุณ การเลือกเป้าหมายชีวิตส่วนตัวด้วยตัวเองจะทำให้คุณจะรู้สึกมีพลัง และมีแรงบันดาลใจในการทำตามเป้าหมายนั้น ๆ
มีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน มีวิสัยทัศน์ที่กว้างและมองการณ์ไกลไปถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต แต่แค่จินตนาการในหัวอาจไม่พอ คุณต้องหาอะไรที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้มากกว่านั้น เขียนรายการสิ่งที่คุณอยากทำ และสิ่งที่คุณทำสำเร็จแล้วลงบนกระดาษ หรือถ้าคุณถนัดวาดภาพ คุณจะจัดเต็มไอเดียในการเชื่อมโยงเป้าหมายในปัจจุบันและอนาคตของคุณก็ได้ บันทึกหรือแผนภาพดังกล่าวจะคอยย้ำเตือนคุณว่าคุณขยับไปใกล้ความสำเร็จมากแค่ไหนแล้ว
พร้อมรับความท้าทายใหม่ ๆ
ในบางครั้งการทำในสิ่งที่ท้าทายอาจเป็นบันไดลัดไปสู่ความสำเร็จ การทำในเรื่องที่ยากจะทำให้คุณเติบโตได้อย่างรวดเร็ว การมีอุปสรรคมากั้นขวางระหว่างตัวคุณและเป้าหมาย จะทำให้คุณตระหนักได้ว่าคุณอยากไปให้ถึงความสำเร็จมากมายขนาดไหน หรือเมื่อคุณเจอทางตันและไปต่อไม่ได้ คุณจะเรียนรู้วิธีประเมินสถานการณ์ใหม่และเดินต่อไปได้ อาจจะด้วยการพลิกแพลงหนทางอื่นหรือแม้แต่การสร้างทางเดินขึ้นมาใหม่ด้วยตัวคุณเอง
ใส่ใจทุกรายละเอียด
การพิจารณาสิ่งที่สำคัญอย่างรอบคอบจะป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่คุณจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง นั่นทำให้คุณสามารถเคลื่อนหาเป้าหมายสู่ความสำเร็จได้โดยไม่สะดุด การใส่ใจในทุกรายละเอียดในทุกเรื่องที่ทำ จะทำให้คุณรู้ตื้นลึกหนาบางของสิ่งที่คุณทำ และใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด
กล้าเสี่ยงในสถานการณ์เหมาะสม
การก้าวสู่ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว ในบางครั้งคุณต้องชั่งน้ำหนักดูว่าควรตัดสินใจอย่างไรให้เหมาะสมในสถานการณ์ที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตามการเสี่ยงนั้นต้องอาศัยข้อมูลในการประเมินสถานการณ์ที่มากเพียงพอ ไม่ใช่เสี่ยงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ในขณะเดียวกันถ้าคุณชอบอะไรที่มั่นคงและไม่กล้าที่จะเสี่ยง ทุกสิ่งที่คุณทำจะถูกจำกัดอยู่แค่คำว่า “พอใช้” ไม่ใช่คำว่า “ดีที่สุด”
ทำสิ่งที่ตัวเองรัก
การทำในสิ่งที่ตนเองรักจริง ๆ จะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจในการก้าวสู่เป้าหมายมากกว่าสิ่งที่คุณถูกยัดเยียดหรือถูกบังคับให้ทำ เรื่องการทำงานก็เช่นกัน ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับงานที่ทำอยู่ นี่เป็นสัญญาณเตือนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คุณรัก หรือถ้าคุณไม่มีทางเลือกอื่นก็ต้องหาแง่มุมที่คุณจะรักมันให้ได้ เพราะคุณต้องอยู่กับมันในทุก ๆ วัน หาสิ่งที่คุณรักให้เจอและทุ่มเทกับมันให้เต็มที่ แล้วคุณจะเห็นผลตอบแทนจากการทุ่มเทกับการทำงานได้ในไม่ช้า
เห็นคุณค่าสิ่งที่มีอยู่
รู้คุณค่าของสิ่งที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของตัวคุณ เพื่อนร่วมงานที่ดี หรือครอบครัวที่อยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งที่คุณมีคือรากฐานสู่ความสำเร็จ ในขณะเดียวกันอย่าลืมแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจเมื่อมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ในวันหนึ่งที่คุณประสบความสำเร็จ เมื่อมองย้อนกลับมาคุณจะเห็นว่าที่คุณประสบความสำเร็จได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความช่วยเหลือของพวกเขานั่นเอง
ทั้งหมดที่เราบอกไปไม่สามารถการันตีได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้เท่ากับการลงมือทำ เป็นธรรมดาที่คุณจะรู้สึกเหนื่อยกับอุปสรรคจนไม่มีกำลังใจทำอะไรเลย แต่อุปสรรคเหล่านี้ถือเป็นบททดสอบตัวคุณว่าจะสามารถฝ่าฟันมันไปได้ไหม ไม่ว่าเป้าหมายคุณจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนคุณก็ต้องลงมือทำให้เต็มที่ เพราะถ้าคุณทำเต็มที่จนสำเร็จมันก็เป็นเหมือนรางวัลที่จะช่วยผลักดันให้คุณมีกำลังใจที่จะพิซิตเป้าหมายต่อ ๆ ไปในภายหน้าได้ด้วย
เรื่องของการบริหารผลงาน และการประเมินผลงานนั้น มักจะเป็นเรื่องที่มีปัญหากันมาตลอดในบริษัทต่างๆ เวลาที่คุยกันเรื่องนี้ มักจะคุยกันไม่จบ สามารถที่จะขุดคุ้ยเอาสาเหตุ และปัญหาที่เกิดขึ้นในการประเมินผลงานออกมาได้มากมาย ไม่มีที่สิ้นสุดกันเลย
องค์กรที่มีปัญหาเรื่องของการนำระบบบริหารผลงานมาใช้แล้วไม่สำเร็จ ปัญหาอยู่ที่ไหนบ้าง
- ผู้บริหารระดับสูงไม่ให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารผลงาน ผมคิดว่านี่คือปัจจัยแรกสุดที่ทำให้ระบบบริหารผลงานที่เราพยายามจะสร้างมันขึ้นมาในองค์กร แล้วไม่สำเร็จสักที ก็เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงไม่เอาด้วย หรือบางครั้งก็ไม่สนใจที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ พันธกิจต่างๆ ก็กำหนดแบบเล่นๆ เพื่อให้มีตามแฟชั่น มีแล้วก็ไม่เคยสื่อวิสัยทัศน์ต่างๆ นี้ให้กับพนักงานได้ทราบเลย ก็เลยทำให้พนักงานไม่มีโอกาสได้ทราบว่าเป้าหมายขององค์กรของเรานั้นเป็นอย่างไร จะไปทางไหน
- หัวหน้า และผู้จัดการไม่สามารถที่จะสื่อสารเป้าหมายให้ลูกน้องได้เข้าใจ ปัญหาถัดมาที่ต่อเนื่องจากปัญหาแรก ก็คือ ตัวหัวหน้า และผู้จัดการ ไม่สามารถที่จะอธิบายเป้าหมายในการทำงานให้พนักงานทราบ อีกทั้งบางคนไม่เคยที่จะบอกพนักงานเลยว่าเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จนั้นมีอะไรบ้าง มักจะเก็บเงียบไว้คนเดียว แม้ว่าในระบบบริหารผลงานนั้นได้ระบุไว้ว่า สิ่งแรกที่จะต้องทำให้ได้ก็คือ การวางแผนผลงานระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง แต่สุดท้ายก็ไม่มีหัวหน้าคนไหนมีการวางแผนผลงานกันอย่างจริงจังเลยสักคน แต่ละปีก็ทำงานกันไปแบบเดิมๆ
- ขาดการสื่อความเรื่องผลงาน ถ้าใครได้ศึกษาเรื่องของระบบบริหารผลงานอย่างจริงจังแล้วจะพบว่า เรื่องของการบริหารผลงานถ้าจะทำให้สำเร็จได้นั้น เรื่องเดียวที่จะต้องทำให้ได้ก็คือ เรื่องของการสื่อความอย่างต่อเนื่องในเรื่องของผลงานพนักงาน ถ้าเราสร้างระบบบริหารผลงาน แต่ไม่กระตุ้นให้มีการสื่อความทางด้านผลงานอย่างต่อเนื่อง ระบบบริหารผลงานก็ใช้ไม่ได้แน่นอนครับ เนื่องจากการบริหารผลงานแปลว่าหัวหน้าจะต้องทำให้ผลงานลูกน้องได้ตามเป้าหมาย ก็โดยการคอยบอกว่าขณะนี้ผลงานของลูกน้องเราเป็นอย่างไร มีอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง จากนั้นก็มาวางแผนพัฒนาและปรับปรุงงานของพนักงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ขาดการพัฒนาผลงานพนักงาน องค์กรที่มีระบบบริหารผลงานที่ดี และสำเร็จนั้น จะต้องมีการวางแผนการพัฒนาผลงานพนักงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หลังจากที่หัวหน้ารู้ว่าอะไรที่ลูกน้องทำไม่ดี และต้องแก้ไขปรับปรุงแล้วนั้น สิ่งถัดมาที่จะต้องทำต่อก็คือ เราต้องวางแผนในการพัฒนาลูกน้องของเราคนนั้นให้ได้รับการพัฒนาและสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ หลายองค์กรที่ระบบบริหารผลงานทำไม่สำเร็จก็เพราะ มีแต่การวิพากษ์วิจารณ์ผลงานพนักงานกันไป แต่ไม่มีการบอกว่าสิ่งที่วิจารณ์นั้นจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น และจะมีแนวทางในการพัฒนาได้อย่างไรบ้าง ผลสุดท้ายก็มีแต่เสียงบ่นของหัวหน้าว่าลูกน้องผลงานไม่ดี แต่ไม่มีแผนในการปรับปรุงเลย
- ขาดระบบการให้รางวัลที่สอดคล้องกับผลงาน เรื่องของระบบบริหารผลงานนั้น ถ้าจะทำให้สำเร็จได้จะต้องเอามาเชื่อมโยงกับระบบการให้รางวัลด้วย บริษัทที่ทำระบบบริหารผลงานไม่สำเร็จก็คือ ไม่สามารถที่จะเชื่อมระบบการให้รางวัลกับผลงานพนักงานได้ อาทิ ผลงานที่แตกต่างกัน แต่กลับให้รางวัลผลงานไม่แตกต่างกัน เช่น คนที่สามารถทำผลงานได้ดีเยี่ยม กลับได้รับรางวัลผลงานไม่ต่างกับคนที่ทำผลงานได้แค่พอใช้ เป็นต้น แบบนี้ก็จะทำให้คนที่ทำผลงานดีไม่อยากทำผลงานอีกต่อไป จากนั้นระบบบริหารผลงานก็จะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และพนักงานก็จะไม่สนใจอีกต่อไปครับ
ถ้าองค์กรของท่านผู้อ่านกำลังวางระบบบริหารผลงานอยู่ ก็คงต้องระวัง 5 ปัจจัยข้างต้นให้ดี ไม่ควรจะให้เกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญของระบบบริหารผลงานก็คือ หัวหน้างาน และผู้จัดการทุกระดับจะต้องมีความเข้าใจ และนำเอาแนวทางในการบริหารผลงานไปปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่เพียงระบบที่วางไว้ แต่ไม่มีใครเอาไปปฏิบัติจริง
ดังนั้นช่วงต้นๆ ของการวางระบบบริหารผลงาน ผมมักจะแนะนำให้เอาเรื่องของการบริหารผลงานพนักงานใส่เข้าไปเป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินผลงานพนักงานระดับบังคับบัญชาทุกคน ก็คือ ให้มีการประเมินว่าหัวหน้าคนไหนที่บริหารผลงานลูกน้องได้ตามระบบ ผลงานในข้อนี้ก็จะดี แต่ถ้าใครไม่ทำตามระบบนี้ ผลงานในข้อนี้ก็จะไม่ดีไปด้วย ก็พอจะช่วยทำให้เกิดความตื่นตัว และทำตามระบบมากขึ้น จนถึงจุดที่ระบบเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ค่อยเอาออกจากการประเมินผลงานหัวหน้างานก็ได้ครับ
การบริหารผลงานเป็นระบบที่ดี แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้างานทุกระดับในองค์กร ไม่ใช่อยู่ที่ตัวระบบเลยครับ ไม่อยากให้เกิดกรณีที่ว่า มีระบบวางไว้อย่างดี แต่ไม่มีใครเอาไปใช้ ซึ่งจริงๆ ก็คือ ไม่มีระบบนั่นเอง