ตัวอย่าง บุคลิกภาพ ที่ ไม่ ดี

คำชมนับเป็นยาชูใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำชื่นชมจากพ่อแม่ ถือเป็นแรงเสริมทางบวกที่จะช่วยให้ลูกๆประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพื่อเสริมสร้างการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ในยุคปัจจุบัน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดย พญ.ถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้เผยเทคนิคการเลี้ยงลูกเพื่อให้เกิดความภูมิใจในตัวเอง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปประยุกต์ใช้ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของลูกๆ ในครอบครัวไทยยุค 4.0

คุณหมอถิรพรกล่าวว่า ในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่เด็กอยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่มากที่สุด ซึ่งเด็กจะมีวิวัฒนาการและการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เด็กในวัยนี้จะเริ่มเรียนรู้จากพฤติกรรม และดูว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ดังนั้น การที่พ่อแม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง และลองผิดลองถูกในการแก้ปัญหา จะยิ่งเพิ่มความสามารถและความภาคภูมิใจให้กับลูกได้ ซึ่งพ่อแม่เปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนให้ลูกรู้ว่า สิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่ดี ผ่านการชมเชย แต่จุดอ่อนทีพบเจอได้บ่อยๆ จนทำให้ลูกไม่มีการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง คือ การไม่ให้โอกาสแก่ลูกได้ช่วยเหลือตนเอง และไม่ค่อยได้ชื่นชมลูก จะคอยแต่ตำหนิติเตียน หรือเรียกว่าการจับผิดมากกว่าจับถูก ซึ่งสิ่งสำคัญเหล่านี้พ่อแม่ควรทราบและนำมาปฏิบัติให้ถูกวิธีก่อน

จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นอธิบายต่อว่า การสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกๆ ควรอยู่ในอัตราส่วน คำชม 5 ครั้งต่อการดุ 1 ครั้ง คือพ่อแม่จะต้องคอยมองว่า ลูกสามารถทำสิ่งที่พ่อแม่ชอบได้ เมื่อทำถูกต้องก็ต้องกล่าวชมลูก เพื่อทำให้ลูกสุขใจและเรียนรู้ที่จะทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ ซึ่งต้องประกอบด้วย 3 หลักใหญ่เข้าด้วยกันคือ ชมถึงพฤติกรรม พฤติกรรมนั้นเรียกว่าคุณสมบัติอะไร และความรู้สึกของพ่อแม่ อาทิ “ลูกเก่งมากที่ทำการบ้านเสร็จ หนูเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ แม่ภูมิใจในตัวหนูนะ” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องรู้สึกอย่างนั้นกับลูกจริงๆ อย่าแกล้งชม การเจาะจงชมเมื่อมีพฤติกรรมอันเหมาะสม หรือชื่นชมในความพยายาม จะทำให้เด็กๆ พร้อมเผชิญความท้าทายต่างๆ ในอนาคตได้ดีกว่าเด็กๆ ที่พ่อแม่ชมแบบกว้างๆ อย่างคำว่า “ดีจัง หรือเก่งจัง” การชมโดยเจาะจงที่พฤติกรรมทำให้เด็กๆรู้ว่า เขามีศักยภาพและความสามารถอย่างไร ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ว่า ความพยายามเป็นทักษะที่จำเป็นในชีวิต แต่ในขณะเดียวกันการชมลูกด้วยประโยคว่า เช่น เก่งที่สุดในโลก หรือดีที่สุดในโลก หากพูดติดปากเป็นประจำก็อาจทำให้เด็กหลงคิดว่าตนเองนั้นเก่งและดีที่สุดในโลกจริงๆ จนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรืออาจคิดเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเสมอ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านทักษะการเข้าสังคมในอนาคตได้

ท้ายสุดการชมของพ่อแม่ที่ไม่ได้ฝึกพูดบ่อยๆ จะทำให้ดูขัดเขินซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้น พ่อแม่ควรเริ่มต้นในการชมกันเองก่อน เพื่อให้พร้อมในการชมลูกได้ติดปาก โดยไม่ต้องกลัวว่า จะชมลูกมากเกินไปแล้วลูกจะเหลิง เพราะการชมนอกจากจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างสัมพันธภาพของลูกกับพ่อแม่ ได้เรียนรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับตนเอง ซึ่งจะทำให้เด็กเป็นเด็กที่เก่ง ดี และมีความสุขต่อไป.

วัยเด็กตอนต้น หรือวัยก่อนเรียน (ช่วง 2-6 ปี) วัยนี้จะเริ่มรู้จักบุคคล สิ่งแวดล้อม สิ่งของ สามารถใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้หลากหลาย เริ่มเข้าใจลักษณะการสื่อสาร และสามารถใช้ภาษาได้มากขึ้น มีอยากรู้อยากเห็น ช่างถาม เป็นตัวของตัวเอง เริ่มรู้จักพึ่งพาตนเอง รู้จักเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหา นอกจากนี้เด็กจะแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนจากการพูดคุย การแสดงออก ความเฉลียวฉลาด ซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคนด้วย ดังนั้นจึงพบว่าเด็กวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพและมีพัฒนาการด้านจริยธรรมอย่างชัดเจน ดังนั้น พฤติกรรมเด็กในวัยนี้จะส่งผลต่อไปในอนาคต มาดูกันว่าพฤติกรรมต่างๆ ของเด็กจะส่งผลต่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง

1. ไม่มีระเบียบวินัย

เด็กๆ ทุกคนต่างก็มีนิสัยเสียไม่มากก็น้อย เช่น การไม่ตรงต่อเวลา ไปโรงเรียนสาย ไม่มีระเบียบวินัย ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หรือเก็บของเล่นไม่เป็นที่เป็นทาง ซึ่งความไม่เป็นระเบียบเหล่านี้ หากคุณพ่อคุณแม่ยังปล่อยปละละเลย จะทำให้ลูกเลิกนิสัยนั้นได้ยาก และจะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นระเบียบวินัยต่อไปในอนาคต

2. ชอบพูดปด

สำหรับการตัดสินว่า เด็กพูดปดหรือไม่นั้น ผู้ใหญ่มักใช้ความเข้าใจของตนเองเป็นหลัก ว่าเด็กต้องการผลประโยชน์ หรือหลบเลี่ยงสิ่งที่เด็กเองไม่ชอบ แต่หากพบในเด็กวัย 3 ถึง 5 ขวบ แล้ว อาจไม่เรียกว่า เป็นการพูดปดก็ได้เนื่องจากเด็กยังไม่มีพัฒนาการการเข้าใจ และใช้ภาษาอย่างสมบูรณ์พอ ความหมายของคำที่เด็กพูด อาจไม่ตรงกับที่ผู้ใหญ่เข้าใจหรือคิดว่าการพูดปดจะทำให้คนอื่นหันมาสนใจ คุณพ่อคุณแม่ควรตัดสินสิ่งที่เขากระทำอย่างยุติธรรมสม่ำเสมอ และสอนให้ลูกพูดความจริงไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดก็ตาม

3. ใช้มือถือ แทปเล็ต มากเกินไป

อุปกรณ์เหล่านี้หากสอนลูกใช้ทางที่ถูกก็จะเกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ แต่หากปล่อยให้ลูกใช้โดยลูกไปดูยูทูปที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก เล่นเกมที่ไม่เหมาะสมกับวัย สิ่งเหล่านี้ล้วนง่ายต่อการจดจำของเด็ก และชักจูงให้ลูกทำสิ่งที่ไม่ดีได้ ดังนั้นหากเหล่าหลีกเลี่ยงเมื่อลูกขอเล่นไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ควรควบคุมพฤติกรรมการใช้ เช่น การกำหนดเวลา และการนั่งเล่นหรือดูไปพร้อมกันเพื่ออธิบาย ก็จะได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการใช้อินเตอร์เน็ตค่ะ

4. กินขนมหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์

กินขนมหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์มากเกินไป หรือบ่อยเกินไป ซึ่งผู้ใหญ่ทุกคนรับรู้ได้ว่าอาหารชนิดไหนมีคุณค่าและมีประโยชน์สำหรับเด็ก การปล่อยให้ลูกกินขนมไม่มีประโยชน์ ของทอด ของมันๆ เช่น มันฝรั่งทอด ช็อกโกแลต ไอศกรีม ขนมที่มีรสหวาน ในปริมาณที่มากเกินไป หรือเอาใจโดยการให้ลูกกินทุกวัน จะเป็นการทำร้ายสุขภาพร่างกายของลูกโดยไม่รู้ตัว และเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ไม่ดีจนติดเป็นนิสัยจนโตได้

5. ชอบลักขโมย

ในเด็กวัยอนุบาล เราอาจใช้คำว่า “หยิบของคนอื่นโดยไม่ได้ขอ” ซึ่งให้ความรู้สึกนุ่มนวลกว่า การว่าเด็กขโมย เนื่องจาก เด็กยังไม่เข้าใจเรื่องของความเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะหากโตมาในบ้านที่ทุกคนในบ้านต่างหยิบของของกันและกันใช้ได้เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กเอาของไปคืนเจ้าของ แต่หากเป็นการกระทำเพื่อหวังประโยชน์ก็ควรไต่ถาม แก้ไข ตามสาเหตุ เช่น สร้างสัมพันธภาพกับเด็กให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรให้เด็กมีส่วนรับผิดชอบชดใช้กับการขโมยของตนด้วยตามเหมาะสม

6. ข่มเหงรังแกผู้อื่น

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เราต่างมีโอกาสเกี่ยวพันกับสถานการณ์ที่มีการรังแกผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในบ้านที่มีพี่น้อง เรียกว่าเป็นเรื่องปกติก็ว่าได้ พบได้บ่อยในเด็กช่วงอายุ 1-3 ขวบ เพราะส่วนใหญ่เมื่อคุณแม่กำลังวุ่นวายกับการดูแลน้องทำให้พี่คนโตรู้สึกตัวเองขาดความสำคัญ จนต้องรังแกน้องเพื่อเรียกร้องความสนใจ สิ่งสำคัญก็คือว่า พ่อแม่จะช่วยให้เขาเป็นพี่ที่น่ารักได้อย่างไรเพื่อให้ติดนิสัยชอบรังแกผู้อื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจ และป้องกันการใช้ความรุนแรงซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

7. ขี้อิจฉา

ถ้าพ่อแม่ปล่อยไว้ แน่นอนว่าจะพลอยทำให้บรรยากาศในบ้านตึงเครียด รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่เองด้วย เด็กเองจะมีความรู้สึกอยู่ตลอดว่า น้องได้รับความรักมากกว่า พ่อแม่ให้เวลามากกว่า ซึ่งส่งผลให้พี่รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่มีใครรัก อาจทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้น้อยใจและชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นได้ในอนาคต

8. ได้รางวัลง่ายเกินไป

อันนี้ถือเป็นพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งผลต่อลูก เมื่อลูกๆ สามารถทำอะไรบางสิ่งที่สำเร็จ พ่อแม่ก็จะมอบรางวัลให้กับลูกง่ายเกินไป พวกเขาจะเริ่มเรียนรู้ที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อจะโกง และสร้างเรื่องหลอกลวง เพื่อหลบเลี่ยงความยากลำบาก หรือความเป็นจริง เพื่อให้ได้รับของรางวัลโดยที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย

วัยเด็กตอนต้นหรือวัยก่อนเรียน เป็นวัยที่มีพัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบุคลิกภาพซึ่งจะเด่นชัดที่สุด กล่าวคือเด็กวัยนี้จะมีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้อื่น ขณะเดียวกันเด็กวัยนี้จะเริ่มเรียนรู้ในการมีเหตุผล และมีความสามารถในการคิดทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ดังนั้น การเลี้ยงดูที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยนี้จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการและมีวุฒิภาวะที่เหมาะสมต่อไป

บุคลิกภาพที่ไม่ดีสำคัญต่อตนเองอย่างไร

บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งการมีบุคลิกภาพที่ดีนั้นทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น ตรงกันข้ามกันกับบุคลิกภาพที่แย่อย่างสิ้นเชิง นอกจากมันจะส่งผลให้คนเราขาดความมั่นใจแล้ว ก็ยังอาจส่งผลต่อสภาวะจิตใจของเรา ซึงอาจกลายเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ อย่างที่เว็บไซต์ time.com ได้นำผลวิจัยล่าสุดที่ ...

บุคลิกภาพที่ดีมีอะไรบ้าง

ลักษณะของคนที่มีบุคลิกที่โดดเด่น.
1. ควบคุมอารมณ์ได้ดี ... .
2. รู้จักวาง Ego. ... .
3. การสังเกตและวิเคราะห์ ... .
4. การสื่อสารที่เหมาะสมและถูกที่ถูกเวลา ... .
5. แสดงความชัดเจนอย่างภาคภูมิใจ ... .
6. ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ... .
7. มีอารมณ์ขันและความสนุกสนาน ... .
8. ความน่าเชื่อถือ.

บุคลิกภาพที่ดีจะส่งผลถึงอะไร

การมีบุคลิกภาพที่ดีนั้นจะเป็นผลให้บุคคลนั้นมีลักษณะส าคัญที่ เป็นประโยชน์ต่อการด าเนินชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้ >เข้าใจสภาพความจริงได้อย่างถูกต้อง >การแสดงอารมณ์ที่เหมาะสม >สร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสังคมได้ >ความผูกพันต่อผู้อื่น >พัฒนาการแสดงออกของตนต่อผู้อื่นได้ดีขึ้น

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้