ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่าง สวทช.และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด นำโดย นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด คุณธันยพร อ้อพงษ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ดร.วิมล แสนอุ้ม ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจนวัตกรรม บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยานในการลงนาม ณ ห้องโถงชั้นที่ 1 อาคาร สวทช. ถนนพระรามที่ 6
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการรดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีความพร้อมไปใช้งานในเชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคสังคม จึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเฉพาะทาง (Focus Center) ซึ่งปัจจุบันมี 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่
นอกจากนี้ สวทช. ยังผลักดันการนำผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านระบบบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งทำให้ผลงานวิจัยมีช่องทางถูกนำไปใประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดในปัจจุบัน และทำงานร่วมกับ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ทำมาตรฐานอุตสาหกรรมนวัตกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับนวัตกรรม ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นวัตกรรมได้รับการรับรองต่อไป
โดย สวทช. และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ได้มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ Logistics และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน เป็นต้น การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีจุดแข็งและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในธุรกิจอุตสาหกรรมในอนาคต
นายพนัส วัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความร่วมมือกับทาง สวทช. ในหลายหลายภาคส่วน ทั้งการร่วมใช้ทรัพยากรเกี่ยวกับ Finite Element กับ DECC มากกว่า 15 ปี ความร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี จัดการประกวดผลงานความคิดสร้างสรรค์เชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน Logistics ในโครงการ Panus Thailand LogTech Award ที่มีการร่วมจัดมาแล้วกว่า 5 ปี นอกจากนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย การพัฒนาแผ่นเกราะกันกระสุนสำหรับการใช้งานในหัวรถจักรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารในพื้นที่ภาคใต้ และอีกหลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และกำลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ร่วมบริหารโครงการวิจัย พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายการทำงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรม 2. สร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนา Platform ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ 3. บูรณาการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งบุคลากรในสายวิจัยและวิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์เครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา 4. การสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ ในผลงานวิจัยและพัฒนาการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม และ 5.พัฒนางานวิจัยเชิงประยุกต์ พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น โครงการรับจ้างวิจัย โครงการร่วมวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อสร้างธุรกิจที่มีความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรม แก้ไขปัญหาทางวิศวกรรม การบริการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงจะร่วมกันพัฒนากลไกเชิงธุรกิจ ผ่านมาตรการส่งเสริมการเงิน ภาษี และบัญชีนวัตกรรมไทย ของสวทช.
ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ หรือ National Security and Dual-Use Technology Center: NSD กล่าวเสริมว่า ในส่วนของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศฯ ได้วางแผนงานวิจัยที่จะร่วมมือกับ บ. พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.การพัฒนาชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต เพื่อกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลของรถขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกรองไอเสียดีเซลที่ประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กมากได้ สามารถฉีดล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย สำหรับติดตั้งในรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ และ 2.การร่วมลงทุนวิจัยระหว่าง พนัส และ สวทช. ในโรงงานต้นแบบผลิตแบตเตอรี่ทางเลือก ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ในอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
สวทช. ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมอุตสาหกรรมด้านระบบรางของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพของระบบขนส่งทางราง และเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย
สวทช. ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมอุตสาหกรรมด้านระบบรางของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพของระบบขนส่งทางราง และเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายอิคุโอะ วาตานาเบะ ประธานสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น / นายเอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. / นายเทตสุโอะ อุซุกะ ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายต่างประเทศ สถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือด้านเทคนิค ระหว่างสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟ ประเทศญี่ปุ่นประเทศญี่ปุ่น และ สวทช. ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีนายโฮโซโนะ เคสุเกะ เลขานุการเอกด้านดิจิทัล สารสนเทศ เทคโนโลยีการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมกล่าวคำแสดงความยินดี ทั้งนี้ เพื่อร่วมกันผลักดันการร่วมมือวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร และการเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพของระบบขนส่งทางราง เพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2567 พร้อมกล่าวว่า ความร่วมมือด้านเทคนิคครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างและขยายความร่วมมือโดยเฉพาะอย่างด้านการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากรวิจัย เป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศตามนโยบายภาครัฐ ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน สร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สวทช. ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับความต้องการใช้งานในระบบขนส่งทางมาโดยตลอด จึงจัดตั้ง ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) ซึ่งเป็นหน่วยงานในรูปแบบศูนย์วิจัยและพัฒนาเฉพาะทาง ในปี 2563 เพื่อรับผิดชอบดำเนินการวิจัยและพัฒนาที่มีเป้าหมายในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความพร้อมสำหรับใช้งานในภาคอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางและการขนส่งสมัยใหม่ เพื่อรองรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของระบบขนส่งทางรางของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ขนิษฐา ลือสัตย์
ผู้เรียบเรียง : กัลยา คงยั่งยืน / สวท.
แหล่งที่มา : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย