ขึ้นชื่อว่าการเรียนใน “หลักสูตรอาชีวศึกษา” ก็ดูเหมือนจะมีชื่อชั้นที่เป็นรองการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา” อยู่ดี ซึ่งทัศนคติเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ในประเทศมหาอำนาจในโลกตะวันออก ก็เกิดขึ้นเช่นกัน
แต่หลังจากที่ทางรัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง โดยให้การศึกษาเป็นหนึ่งในเสาหลักที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ เพราะมีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของรัฐบาลที่ต้องการตัดวงจรและขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศโดยการเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาส่งผลให้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาหลายแห่งในจีนหันมาปรับปรุงหลักสูตรให้มีความหลากหลาย และเน้นไปทางด้านอาชีวศึกษา หรือ หลักสูตรอาชีวศึกษา เป็นหลักค่านิยมชาวจีนที่เปลี่ยนไป หลังประจักษ์แล้วว่า การเรียน หลักสูตรอาชีวศึกษา มีอะไรดี
จากบทความเรื่อง “จีนเล็งขยายหลักสูตรทางเลือกมุ่งเน้นอาชีวะ หวังตอบโจทย์ความถนัดผู้เรียนที่หลากหลาย” ที่แปลและเรียบเรียง โดย นงลักษณ์ อัจนปัญญา เผยแพร่ในเว็บไซต์ กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้บอกเล่าถึงนโยบายการปฏิรูปการศึกษาจีน ด้วย หลักสูตรอาชีวศึกษา อ้างอิงจากรายงานข่าวของ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ที่รายงานว่า“ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ระบบการศึกษาของจีนส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่การอัดความรู้ด้านวิชาการแขนงต่างๆ โดยเฉพาะวิชาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา ซึ่งรูปแบบการศึกษาเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความกดดันให้กับผู้เรียน และพ่อแม่ที่ต้องเคร่งครัดกับการเรียนของลูกๆ จนพ่อแม่ชาวจีนถูกขนานนามว่าเป็น “พ่อเสือแม่เสือ” เท่านั้น แต่หลักสูตรดังกล่าวยังทำให้ธุรกิจติวเตอร์หรือโรงเรียนสอนพิเศษเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”ผู้แปลบทความนี้ชี้ว่า เพราะภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงนี้เอง ที่นำมาซึ่งปัญหา เนื่องจากมีเด็กเรียนเก่งและสำเร็จการศึกษาออกมามากมาย แต่กลับยังมีคนว่างงานอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ตำแหน่งงานที่เปิดรับอยู่ก็มีมากในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน สะท้อนให้เห็นว่า หลักสูตรการศึกษาของจีนในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดงาน และอาจไม่ตอบโจทย์กับความต้องการผู้เรียนด้วยด้านผู้เชี่ยวชาญการศึกษาหลายสำนัก ก็กล่าวว่า การเดินหน้าจัดระบบสถาบันสอนพิเศษของรัฐบาลจีนอย่างจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้พ่อแม่ชาวจีนส่วนหนึ่งกลับมานั่งทบทวนแผนการศึกษาของลูกๆ อย่างจริงจัง จนตระหนักว่า ไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะเป็นเด็กเรียน หรือเป็นหัวกะทิ ที่มุ่งสู่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเสมอไปการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยนี้ มากพอที่จะทำให้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาหลายแห่งหันมาปรับปรุงหลักสูตรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปในด้านที่เอื้อให้ผู้เรียนได้ค้นหาความชอบและความถนัดของตนเองหลักสูตรอาชีวศึกษา เยอรมันนี ต้นแบบปฏิวัติการศึกษาที่จีนขอเดินตามรอย
รายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กยังระบุว่า โรงเรียนหลายแห่งมีการปรับรูปแบบด้วยประยุกต์หลักสูตรในต่างประเทศมาใช้มากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหลักสูตรของเยอรมนีที่ให้ความสำคัญกับการเรียนอาชีวศึกษาโดยแทนที่จะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษา เหล่าคนหนุ่มสาวชาวเยอรมันจำนวนมากต่างตบเท้าเข้าสู่ระบบการเรียนด้วยการการฝึกงานที่เรียกว่า “การฝึกอบรมแบบคู่ขนาน” ซึ่งจะแบ่งเวลาระหว่างการเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียนที่โรงเรียนอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมภาคปฏิบัติที่บริษัทเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ตนเองสนใจนับเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนหนุ่มสาวที่จะได้งานที่ดี ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ก็ได้แรงงานทักษะฝีมือขั้นสูงที่ตรงกับความต้องการ โดย 80% ของหนุ่มสาวชาวเยอรมันล้วนเข้าร่วมการฝึกอบรมแบบคู่นี้ด้วยต้นแบบจากเยอรมันนี จีนได้เริ่มนำมาปรับเข้ากับบริบทการศึกษาของจีน เริ่มจากความเคลื่อนไหวของบรรดาสถาบันการศึกษาในจีนที่ทยอยปรับหลักสูตรเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางสภาแห่งชาติจีน ซึ่งมีอำนาจในบริหารประเทศและกำหนดนโยบายสูงสุดได้ตีพิมพ์เผยแพร่คู่มือแนวทางด้านการศึกษาเพื่อผลักดันหลักสูตรที่ใกล้เคียงกับโมเดลการศึกษาของเยอรมนี โดยรัฐบาลจีนประกาศให้คำมั่นว่า จีนจะสร้างระบบอาชีวศึกษาระดับโลกเพื่อพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูงสื่อท้องถิ่นแดนมังกรยังรายงานว่า ประเทศจีนไม่ต้องการผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่มีทักษะภาคปฏิบัติอีกต่อไป เพราะเป็นกลุ่มที่กลายเป็นคนว่างงานและเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความไม่พอใจในสังคมในบทความนี้ ได้สรุปว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเรียนอาชีวศึกษาไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรในสังคมจีนก็คือค่านิยมของสังคม ที่มักจะจัดประเภทของเด็กตามสถานะและความมั่งคั่งของตระกูลโดยจีนในขณะนี้มี “ทารกทองคำ” หรือเด็กบ้านรวยที่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่จะก้าวไปเป็นหัวกะทิในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศได้มากมาย ขณะเดียวกัน จีนก็มี “ทารกทองแดง” จากครอบครัวยากจนหรือมีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ ที่ทำงานด้านแรงงานในโรงงานจำนวนมากแต่จีนขาดแคลน “ทารกเงิน” หรือชนชั้นกลางที่มีทักษะสามารถขั้นสูงในการผลิตอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ที่เหล่าหัวกะทิออกแบบขึ้นมาได้ และรัฐบาลจีนกำลังสนับสนุนให้เกิดชนชั้นกลางทักษะสูงจำนวนมากผ่านการสนับสนุนการศึกษาทางด้านอาชีวศึกษานั่นเองสถานการณ์นี้ทำให้จีน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดของโลกสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยปีที่ผ่านมา มูลค่าเพิ่มจากการผลิตคิดเป็นสัดส่วนเพียง 26% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน ลดลง 6% จากเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สถานการณ์นี้ ก็เคยเกิดขึ้นที่เยอรมันนี และเยอรมนีใช้เวลาถึง 30 ปีกว่าจะลดขนาดการผลิตในสัดส่วนดังกล่าวลงได้
ภาพจำใหม่ อาชีวศึกษาไทย ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน พัฒนาการสอนให้ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ
ไม่ใช่แค่ชาวจีนเท่านั้น ที่มีค่านิยม “ด้อยค่าอาชีวศึกษา” ผู้ปกครองไทยก็มีค่านิยมแบบนี้เช่นกัน โดยมักจะส่งลูกให้ได้เรียนในระดับอุดมศึกษาหรือในมหาวิทยาลัยชั้นนำ แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีความพยายามนำเสนอข้อดีของการเรียนในสายวิชาชีพ หรือ หลักสูตรอาชีวะ ว่ามีแต้มต่อไม่น้อยกว่าเลย ทั้งในด้านการเรียนที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ และมีโอกาสได้ฝึกงานในสถานประกอบการจริง จบไปแล้วมีงานทำแน่นอน ขณะที่บัณฑิตที่เรียนจบในสถาบันอุดมศึกษากับประสบกับปัญหา หางานยาก หรือถ้าได้งานก็อาจจะได้งานที่ไม่ตรงสายที่เรียนมาส่วนหนึ่งเชื่อว่า การที่ค่านิยมเดิมๆยังไม่เปลี่ยน นั่นเป็นเพราะภาพจำเก่าๆ ต่อการเรียนอาชีวะ ที่ยังคงอยู่ในกรอบของ “นักเรียน นักเลง” ทั้งที่ในตอนนี้ หลักสูตรอาชีวศึกษา ของไทย ได้พัฒนาไปไกลอย่างมากแล้วยกตัวอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นที่ล่าสุด เมื่อ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management : CVM) จำนวน 25 แห่ง ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศโดยแนวคิดในการ ผลิตคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ นี้ อยู่ภายใต้แนวคิดของ Demand driven ซึ่งมาลบภาพการผลิตบุคลากรโดยไม่คำนึงความต้องการของตลาดแรงงานที่แท้จริงออกจากระบบการศึกษาไทย และนำสู่ฉากทัศน์ใหม่ของการที่สถาบันการศึกษาจับมือกับสถานประกอบการและหน่วยงานภาครัฐ มุ่งผลิตบุคลากรตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการพัฒนาประเทศไทยต่อจากนี้ไป- ความร่วมมือกับ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
- ความร่วมมือกับ บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด
- ความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
การปฏิรูปการศึกษาไทยด้วย “อาชีวศึกษา” ยังมีอีกหลายมุมมองน่าสนใจให้ได้อัปเดตดังนั้น ในยุคที่การศึกษาไทยต้องเป้นไปเพื่อผลิตบุคลากรตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ และภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดูเหมือนว่า การเรียนอาชีวศึกษา จำเป็นต้องก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกอีกคน ที่จะช่วยชาติให้ได้กำลังคนคุณภาพตอบโจทย์ตลาดงานยุคใหม่ ที่มีเป้าประสงค์อยู่ที่การทำงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวไกลได้จริงเสียแล้ว
‘นิทัศน์ วีระโพธิ์ประสิทธิ์’ คนอาชีวศึกษาตัวจริง ผู้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของ EEC Model Type A ที่จับต้องได้
เรียนรู้จากต้นแบบ สถาบันอาชีวศึกษาสิงคโปร์ กู้ชาติด้วยการผลิต แรงงานทักษะ ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ
เปรียบเทียบโมเดลความสำเร็จ การปฏิรูปอาชีวศึกษา ไทย vs. จีน ดึงภาคเอกชนร่วมผลิตบุคลากรป้อนอุตฯไฮเทคโนโลยี
Post Views: 1,033