เราให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นอย่างยิ่ง เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีกับผู้ใช้ ดูรายละเอียด นโยบายความเป็นส่วนตัว
บริษัทผู้เป็นเจ้าของ ยี่ห้อยาสีฟัน คอลเกต เดิมทีบริษัทเริ่มจากการเป็นโรงงานสบู่และเทียนไข ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งคือ นายวิลเลียม คอลเกต ใช้ชื่อบริษัทว่า “วิลเลียม คอลเกต แอนด์คัมปานี” (William Colgate & Company)
หลังจากนายวิลเลียม คอลเกตเสียชีวิต และลูกชายของเขา นาย ซามูเอล คอลเกต ได้เข้ามาบริหารต่อก็ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “คอลเกตแอนด์คัมปานี” (Colgate & Company) และได้มีการจำหน่ายยาสีฟันขึ้นแบบบรรจุหลอดเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2451
จุดเปลี่ยนสำคัญของคอลเกต
จนกระทั่งได้มีการรวมตัวกับบริษัท Palmolive-Peet ของ บี.เจ. จอห์นสัน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสบู่ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ได้มีการออกจำหน่ายสินค้าทั่วโลก และมีแบรนด์ในการดูแลเพิ่มขึ้น เช่น Protex ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ คือ “คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ”
คอลเกตได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2501 หรือเมื่อ 59 ปีที่แล้ว ภายใต้ชื่อบริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด และนอกจากจะเป็นเจ้าของแบรนด์ คอลเกต แล้วยังมีสินค้าที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง สบู่ปาล์มโอลีฟ (Palmolive) โพรเทคส์ (Protex) และแป้งเด็กแคร์ (Care) อีกด้วย
ตลาดยาสีฟันในประเทศไทยในปัจจุบัน Colgate เป็นผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งสูงที่สุด มากกว่า 40%
จากการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีส่วนผสมของธรรมชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น
รายได้ของ Colgate เฉพาะในประเทศไทย
ปี 2557 รายได้รวม 18,508 ล้านบาท กำไร 1,989 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้รวม 19,410 ล้านบาท กำไร 2,457 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้รวม 19,722 ล้านบาท กำไร 2,269 ล้านบาท
ซึ่งรายได้ในประเทศไทยจะคิดเป็น 1 ใน 25 ของรายได้ทั้งหมดทั่วโลก
รายได้ของบริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ทั่วโลก
ปี 2557 รายได้รวม 565,099 ล้านบาท กำไร 71,303 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้รวม 524,443 ล้านบาท กำไร 45,268 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้รวม 497,001 ล้านบาท กำไร 79,840 ล้านบาท
ปัจจุบัน Colgate มีมูลค่าตลาด อยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท และมีค่า P/E อยู่ถึง 28.69 เท่า
P/E ของบริษัท Colgate ไม่ถือว่าถูกเลย เพราะอะไร?
อาจเป็นเพราะว่าสินค้านี้เป็นสินค้าในชีวิตประจำวัน ที่หมดแล้วต้องซื้อซ้ำ และเป็นยี่ห้อที่คุ้นเคยกันดี ไม่ต้องคอยลุ้น นักลงทุนจึงยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่าปกติ
กำลังมองหาคำแนะนำด้านทันตกรรมจากผู้เชี่ยวชาญอยู่หรือไม่? ค้นหาบทความและวิดีโอที่เป็นประโยชน์ในศูนย์ดูแลสุขภาพช่องปากเพื่อช่วยดูแลรอยยิ้มของคุณและคนในครอบครัวในทุกๆ ขั้นตอน
เรียนรู้เพิ่มเติม