- สัญญาเช่าทางการเงิน (Finance lease)
- บันทึกเป็นลูกหนี้
- ค่าเช่ารับแบ่งเป็น 2 ส่วน
ดอกเบี้ยจ่าย
- ส่วนที่ไปลดเงินต้น
- กรณีเป็นผู้ผลิตหรือผู้ขาย บันทึกกำไรขาดทุนจากการขายเช่นเดียวกับการขายปกติ
- บันทึกค่าเช่ารับ (ดอกเบี้ยและเงินต้น) เป็นรายได้
- ไม่มีกำไรขาดทุนจากการขายทรัพย์สินขณะเริ่มสัญญา
- บันทึกค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่าย
- อาจมีกำไรขาดทุนจากการขายทรัพย์สินเมื่อมีการซื้อขายทรัพย์สิน
1. สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ ทรัพย์สินเป็นยานพาหนะ > รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง หมดสิทธิ์นำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขายทุกกรณีทั้งค่าเช่า, ค่าเช่าซื้อ, ค่าน้ำมัน, ค่าซ่อมบำรุง, ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ดู Link อ้างอิง ประกาศอธิบดี VAT#42 ข้อ 2 (1) //www.rd.go.th/publish/3398.0.html แต่สามารถนำภาษีซื้อมาถือเป็นค่าใช้จ่ายในทางภาษีได้ หรือรวมเป็นต้นทุนสินทรัพย์ได้หากเป็นรายจ่ายที่มีลักษณะเป็นการลงทุน ดูพระราชกฤษฏีกาว่าด้วย "ภาษีซื้อที่ใช้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 243)" //www.rd.go.th/publish/2380.0.html กรณีของคุณหากเลือกบันทึกสินทรัพย์ต้องรวมภาษีซื้อเป็นต้นทุนด้วยครับ เสร็จแล้วพักไว้ก่อน
2. พิจารณาหรือสอบถามผู้บริหารว่า รถยนต์ที่ทำลีสซิ่งอยู่นั้น ประสงค์จะซื้อในตอนสิ้นสุดสัญญาหรือไม่
โดยต้องดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับ 29 (ปรับปรุง 2550) เรื่องสัญญาเช่าประกอบด้วยครับ
2.1 ต้องการซื้อแน่นอน >>> บันทึกเป็นสินทรัพย์ในทางบัญชี (รวมภาษีซื้อ) และต้องรวมเงินประกันเข้าไปด้วย เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาต้นทุน ถ้าหากบันทึกเงินประกันแยกไว้ เมื่อครบสัญญาบัญชีนี้จะค้างอยู่ ทั้งๆ ที่มันไม่มีแล้ว แต่คุณจะโอนไปยังบัญชีสินทรัพย์ยานพาหนะก็ไม่ได้เพราะคุณได้บันทึกมูลค่าต้นทุนไว้เพื่อคิดค่าเสื่อมราคาเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่อง ดอกเบี้ยรอตัดจ่าย คำนวณง่ายๆ (เพราะยากๆ ตามมาตรฐานการบัญชีทำไปก็ไม่คุ้มกับเวลาและผลลัพธ์ที่ได้ครับ) = ราคาที่ต้องชำระทั้งสัญญา ราคาเงินสด
รายจ่ายตลอดทั้งสัญญา 35,417 x 60 = 2,125,020 + เงินประกัน 600,000.- = 2,725,020.-
ราคาเงินสด (รวม VAT) 2,399,000.-
ดอกเบี้ยรอตัดจ่าย (2,725,020 2,399,000) = 326,020.-
การบันทึกบัญชีเป็นดังนี้
Dr. ยานพาหนะ 2,399,000.-
ดอกเบี้ยรอตัดจ่าย 326,020.-
Cr. เจ้าหนี้-ลีสซิ่ง 2,125,020.- (35,417 x 60)
เงินสด/เงินฝากฯ 600,000.-
แต่ทางภาษีถือตามรูปแบบของสัญญา คือ ยังคงเป็นค่าเช่าวันยังค่ำ
2.2 ไม่ต้องการซื้อ >>> บันทึกเป็นค่าเช่า ทั้งบัญชี และภาษี ขยายความ: ค่าเช่าทางบัญชีบันทึกตามปกติ แต่ทางภาษีพิจารณา....หากเป็นกรณีรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง หักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ไม่เกิน 36,000.-/เดือน (รวม VAT) หากเช่าเป็นวันคิดตามสัดส่วนวัน ดูพระราชกฤษฏีกาว่าด้วย รายจ่ายที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 315) //www.rd.go.th/publish/2796.0.html กรณีของคุณหักเป็น คชจ.ทางภาษีได้เต็มจำนวน
3. อย่าลืมตรวจดูเงื่อนไขการยกเว้น การหักภาษี ณ ที่จ่าย จากค่าเช่าประเภทลีสซิ่ง ในคำสั่ง ทป.4/2528 ข้อ 6 วรรคสอง 3 ข้อ ดู Link อ้างอิง //www.rd.go.th/publish/3479.0.html (ในชีวิตจริงการตรวจดูทุนชำระแล้ว จะต้องตรวจดู บอจ.5 ซึ่งผู้ให้เช่าไม่เคยจะให้ดู แต่ถ้าหากบริษัทฯ ใหญ่ๆ ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (เน้น ต้องเป็นทุนที่ชำระแล้ว) น่าจะถึง 60 ล้านนะ ถ้าจะให้ชัวร์ควรไปขอคัดสำเนา บอจ.5 ที่สำนักบริการของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยค้นหาเลขทะเบียนนิติบุคคลจากเว็บไซต์ www.dbd.go.th>e-service> ตรวจค้นข้อมูลทะเบียนธุรกิจ (ซึ่งต้องสมัครสมาชิกก่อน) แล้วจึงนำเลขทะเบียนไปกรอกในแบบฟอร์มตอนที่ไปขอคัด บอจ.5 ที่กรมพัฒฯ
4. ควรมีบันทึกเกี่ยวกับการคำนวณลีสซิ่งไว้ต่างหาก (หากเลือกบันทึกเป็นสินทรัพย์ทางบัญชี) เนื่องจาก
4.1 เมื่อปิดงบการเงินประจำปี ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ที่ทำลีสซิ่ง จะต้องบวกกลับ และหักออกด้วยค่าเช่า (เพราะทางภาษีถือเป็นค่าเช่าสถานเดียว) อันนี้ Search ข้อมูลเกี่ยวกับข้อหารือกรมสรรพากรได้เพราะมีตอบไว้ค่อนข้างเยอะ และอย่าลืมโดยเด็ดขาด (อันนี้ผมเองเคยลืมไปครั้งหนึ่ง)
ถ้าหากบันทึกค่าเช่าในทางบัญชีและทางภาษีเหมือนกัน ค่อยมาพิจารณาจำนวนเงินที่หักได้ในทางภาษี หากทางบัญชีลงไว้มากกว่าหลักเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้บวกกลับในการคำนวณภาษีเงินได้ด้วยครับ
4.2 เมื่อสิ้นสุดสัญญา ทางบัญชีไม่ต้องทำอะไรครับลงบัญชีคิดค่าเสื่อมราคาปกติ แต่ทางภาษีจะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์ในวันที่สิ้นสุดสัญญาและโอนกรรมสิทธิ์หรือขายสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่า (โดยมากผู้ขายจะเปิดใบลดหนี้เงินประกันมาให้ และเปิดใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินค่าขายสินทรัพย์มาให้) คือ เอาเงินประกันมาเป็นราคาซื้อสินทรัพย์รายการนั้นๆ หลังจากนั้นก็คิดค่าเสื่อมราคาจากราคาทุนตามที่ระบุในใบกำกับภาษีค่าขายสินทรัพย์นั่นแหละครับ
ดังนั้น ตอนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ค่าเสื่อมราคาทางบัญชีบวกกลับโลด แล้วใช้ค่าเสื่อมราคาทางภาษีแทน ซึ่งก็ต้องดูอีกว่าราคาซื้อทรัพย์สินที่เช่า (เฉพาะรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง) เมื่อครบสัญญาเกิน 1 ล้านบาทหรือไม่ หากเกินจะคิดค่าเสื่อมจากต้นทุนที่ 1 ล้านบาทเท่านั้น
ตอนเขียนอยู่นี้ ได้นึกถึงตอนที่ตัวเองทำงานจริงๆ ก็รู้สึกว่า มันช่างวุ่นวายตั้งแต่ต้นจนครบสัญญาเสียนี่กระไร...เพราะตอนนั้นผมเจอกับสัญญาเช่าลีสซิ่งเกือบ 10 สัญญาเห็นจะได้ ดีนะที่ทำทะเบียนคุมไว้ในไฟล์ Excel ด้วย ไม่อย่างนั้นตอนปิดงบผมคงกลายเป็นซูปเปอร์หมาแพนดี้แหงๆ
ค่าเบี้ยประกันรถ BMW ขอคืนภาษีซื้อไม่ได้ตามเหตุผลข้อแรกครับ
สรุปหากไม่แน่ใจจริงๆ หรือยังงงๆ อยู่ ก็ลองสอบถามผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ คุณก็ได้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องลุยงานวันสุดท้ายก่อนปิดงานปีใหม่ครับ
Taddyanimation45_@hotmail.com
Taddy:
**ขยายความเพิ่มเติม 2.1 ครับ
คือ โดยความหมายราคาเงินประกันจะเป็นส่วนหนึ่งของราคาเงินสดอยู่แล้วน่ะครับ (เทียบเคียงเงินมัดจำในสัญญาเช่าซื้อ) ถ้าดูตามรูปบัญชีก็จะดูง่ายหน่อยครับ