โรคกระเพาะอาหารในทางการแพทย์ หมายถึงโรคกระเพาะอาหารชนิดไม่ได้เกิดจากแผล เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ทรมาน รบกวนการใช้ชีวิต เพราะมีอาการปวดท้อง เป็น ๆ หาย ๆ เช่น ปวดท้องอยู่ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นอาการปวดหายไปเป็นเดือน จนคิดว่าหายแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับมาปวดอีก
กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะสำคัญ ทำหน้าที่ย่อยอาหาร โดยการผลิตน้ำย่อย ซึ่งเป็นกรดในการย่อยอาหาร ย่อยได้แม้กระทั่งของที่แข็งอย่างกระดูก แต่กระเพาะของเราจะไม่โดนน้ำย่อยกัด เพราะกระเพาะมีกลไกในการป้องกันตัวเอง และมีการสร้างเมือกขึ้นมาเคลือบผิวของกระเพาะอาหาร แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้กระเพาะอักเสบ
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
มีหลากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุ อาจเป็นผลจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้กลไกการป้องกันตัวเองของกระเพาะเสียไป เจ้าเชื้อนี้ มีชื่อว่า “Helicobacter pylori (H. pylori)” เป็นเชื้อที่อาศัยอยู่บนเยื่อบุอาหาร เพิ่มความเสี่ยงของการอักเสบเรื้อรังของกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารได้
นอกจากนี้พฤติกรรมของเรา เช่น การดื่มเหล้า ชา กาแฟ การสูบบุหรี่ รวมถึงความเครียด การอดอาหารหรือทานอาหารไม่เป็นเวลา ส่งผลให้กลไกการทำงานของกระเพาะอาหารเสียไป กระตุ้นให้กรดหลั่งเยอะขึ้น เมื่อหลั่งเยอะขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะ
อาการของโรคกระเพาะอาหาร
- ปวด จุกแน่นท้อง แสบ หรือรู้สึกตื้อ อิ่มเร็ว อาการจะเกิดบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือช่องท้องส่วนบน เหนือต่อสะดือ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักเป็นเวลาท้องว่าง เวลาอิ่มหรือเวลาหิว อาการจึงเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน
- อาการปวดแน่นท้อง มักจะบรรเทาได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด หรือยาปรับการทำงานของกระเพาะอาหาร
- อาการปวด มักจะเป็น ๆ หาย ๆ โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก
- บางราย ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากที่หลับไปแล้ว
- แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม
- โรคแผลกระเพาะอาหารจะไม่กลายเป็นมะเร็ง แม้จะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานกี่ปีก็ตาม นอกจากจะเป็นแผลชนิดที่เกิดจากโรคมะเร็งของกระเพาะอาหารตั้งแต่แรกเริ่มโดยตรง
การรักษาหรือการบรรเทาอาการ
โรคแผลกระเพาะอาหารเป็นโรคเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ มักไม่หายขาดตลอดชีวิต ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หลังได้รับยา อาการปวดจะหายไปก่อนใน 3-7 วัน ถ้าหากพบว่ามีแผลในกระเพาะอาหารร่วมด้วย ส่วนใหญ่ต้องรับประทานยานานถึง 4-8 สัปดาห์ แผลจึงหาย เมื่อหายแล้ว ยังอาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระวังปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ได้แก่
อาการปวดท้องตรงกลาง เป็นความผิดปกติของอวัยวะบริเวณส่วนท้องภายในร่างกาย ตำแหน่งของการเกิดโรคสามารถบอกสาเหตุของอาการได้ ซึ่งการปวดท้องก็มีระดับความหนัก-เบาที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อรู้สึกปวดท้องเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลให้มีอาการข้างเคียงอื่นๆ ตามมาอีกด้วย เช่น รู้สึกจุก ท้องเสีย วิงเวียน คลื่นไส้ รวมถึงปวดหลัง ปวดเอว การรู้จักสังเกตอาการต่างๆ ขณะปวดท้อง จะช่วยให้รู้สาเหตุของโรคในเบื้องต้นได้ ดังนี้
ปวดท้องตรงกลางจุกๆ
หากรู้สึกปวดท้องแบบจุกๆ เสียดๆ รวมถึงมีอาการแสบท้องร่วมด้วย เป็นไปได้ว่าเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ บางคนอาจจะปวดท้องตรงกลางเป็นๆ หายๆ หรือเกิดขึ้นเฉพาะตอนท้องว่าง รู้สึกหิว กินอาหารผิดเวลา หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ก็อาจนำไปสู่โรคกรดไหลย้อน ทำให้รู้สึกแสบร้อนกลางอก ซึ่งจะอาการกำเริบทันทีหลังกินอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ
ปวดท้องตรงกลาง ท้องเสีย คลื่นไส้
อาการปวดท้องตรงกลาง จนทำให้รู้สึกคลื่นไส้และท้องเสีย หากเป็นประจำ อาจสามารถบ่งชี้อาการเริ่มต้นของโรคต่างๆ ได้ เช่น ลำไส้อักเสบ จะรู้สึกปวดท้องบริเวณรอบๆ สะดือ เป็นๆ หายๆ อันเกิดจากลำไส้เล็กทำงานผิดปกติ ในบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ ปวดท้องเหมือนจะท้องเสีย แต่ไม่รู้สึกอยากขับถ่าย ควรไปพบแพทย์ทันที
ปวดท้องตรงกลาง เหนือสะดือ
หากรู้สึกปวดท้องบริเวณเหนือสะดือกลางตัว และใต้ลิ้นปี่ เป็นสาเหตุความผิดปกติของตับอ่อน กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี หรือหลอดอาหาร ในบางรายที่ปวดรุนแรงเป็นประจำ จนรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อาจเกี่ยวข้องกับโรคตับอ่อนอักเสบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรค
ปวดท้องตรงกลาง ใต้สะดือ
ใครที่ปวดท้องบริเวณใต้สะดือ บริเวณช่องท้องส่วนล่าง เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การยกของหนัก ออกกำลังกายโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องมากเกินไป ซึ่งสามารถกินยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการได้ หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะร่วมด้วย ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้เช่นกัน
ปวดท้องตรงกลาง ปวดหลัง
หากรู้สึกปวดท้องเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน หลายคนมักจะมีรู้สึกปวดหลังเป็นผลของอาการข้างเคียง เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย หากส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะอาการปวดท้องตรงกลาง ลามมาปวดหลัง อาจเป็นสัญญาณของโรคกรวยไตอักเสบ ซึ่งจะแสดงอาการร่วมกับการมีปัสสาวะสีขุ่น มีไข้ หนาวสั่น
ปวดท้องตรงกลาง บิดๆ
อาการปวดท้องแบบบิดๆ อาจเกิดจากโรคลำไส้อักเสบ ซึ่งจะมีอาการถ่ายเหลวและท้องเสียร่วมด้วย ควรหันไปกินอาหารอ่อนที่ปรุงสุกสะอาด ดื่มน้ำสะอาดมากๆ กินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้น รวมถึงพักผ่อนให้เพียงพอ งดยกของหนักทุกชนิด แต่หากปวดท้องบิด ไข้สูง หนาวสั่น ปวดแสบขัดเมื่อปัสสาวะ อาจเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในบางรายจะรู้สึกมวนท้อง คลื่นไส้ ไม่อยากกินอาหาร ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรค
วิธีรักษาอาการปวดท้องตรงกลาง ควรกินยาอะไร?
อาการปวดท้องตรงกลางมีหลายสาเหตุ เกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ของตัวผู้ป่วยเอง รวมถึงเป็นสัญญาณบอกโรคที่ไม่ควรมองข้าม หากอาการไม่รุนแรง เกิดจากปัจจัยที่คาดเดาได้ ปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้จุกเสียดแน่นท้อง ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร แต่หากมีอาการเรื้อรังหรือรุนแรงเฉียบพลันก็อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย จะได้หาแนวทางการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย
อาการปวดท้องตรงกลางเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทางที่ดีควรหมั่นสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ เพื่อจะได้รักษาอาการต่างๆ อย่างทันท่วงที.