เมื่อพูดถึงระบบ ERP ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ จะต้องมีชื่อ SAP S/4HANA อยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ⠀ วันนี้ NEXUS จะพาทุกท่านไปทำความรู้จัก SAP S/4HANA ทั้งภาพรวมของระบบและความสามารถต่าง ๆ ⠀ SAP S/4HANA คืออะไร SAP S/4HANA คือ ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ระบบ ERP) เวอร์ชันใหม่ล่าสุดของ SAP รวมฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญทางธุรกิจ มาพร้อม #เทคโนโลยีอัจฉริยะในตัว (Intelligent Technologies) มีทั้ง AI, Machine Learning และการวิเคราะห์ขั้นสูง พร้อมรองรับ Big Data และ IoT ⠀ ประมวลผลด้วยระบบ SAP HANA ซึ่งเป็นฐานข้อมูลในหน่วยความจำ (In-memory database) ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ⠀ ความสามารถของระบบ SAP S/4HANA SAP S/4HANA มี SAP S/4HANA Enterprise Management เป็นแกนกลางของธุรกิจ (Digital Core) ครอบคลุมกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัท เชื่อมต่อกระบวนการทั้งหมดในองค์กร เช่น Finance, HR, Sourcing and Procurement, Supply Chain, Manufacturing, Marketing and Commerce, Sales เป็นต้น รองรับการทำงานกว่า 25 กลุ่มอุตสาหกรรม และ Core Digital ของ SAP S/4HANA ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT และโซลูชันเฉพาะให้เข้ามาทำงานร่วมกันได้ ⠀ ทำความรู้จัก SAP S/4HANA มากขึ้น อ่านเต็ม ๆ ได้ที่ //rebrand.ly/7c6aab ⠀ เลือก SAP S/4HANA กับ NEXUS SAP Gold Partner บริการให้คำปรึกษา และวางระบบ SAP S/4HANA แบบครบวงจร แบบ End-to-End มีโซลูชันและบริการเสริมพิเศษ เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น POS, QR Code, RFID, Sensor, E-Tax, E-Filing, ขนส่ง, ธนาคาร รวมถึงอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ เป็นต้น
ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร หรือ ERP ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับธุรกิจทั่วโลก ซึ่ง ERP หมายถึง ซอฟต์แวร์หรือระบบที่ใช้ในการวางแผนและจัดการทรัพยากรในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านซัพพลายการผลิต การบริการ การเงินบัญชี และกระบวนการอื่นๆ ที่สามารถปรับปรุงการดำเนินงานด้วยการทำงานแบบอัตโนมัติ เช่น บัญชี การจัดซื้อ การจัดการการผลิต การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ การจัดการความเสี่ยง การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชน เป็นต้น
แม้ว่าธุรกิจจะสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน ERP ในแต่ละส่วนงานหรือแผนกในองค์กรได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ERP ทุกระบบจะสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นแอปพลิเคชัน ERP ที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีความสามารถในการรวบรวมกระบวนการต่างๆ ทั่วทั้งธุรกิจเข้าด้วยกัน เชื่อมต่อทุกแง่มุมขององค์กร ช่วยให้การสื่อสารและการรวบรวมข้อมูลภายในองค์กรเชื่อมโยงได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบ ERP ในปัจจุบันยังสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อขยายกระบวนการต่างๆ ให้ง่ายขึ้น เพื่อเชื่อมต่อกับคู่ค้าภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ซัพพลายเออร์ ผู้ให้บริการ สถาบันการเงิน และอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ERP มีประโยชน์อย่างไร?
ERP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการดำเนินงานตั้งแต่ขั้นแรก ไปจนถึงการช่วยให้แผนกต่างๆ เข้าถึงข้อมูลและทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น มาดูว่า ERP มีประโยชน์แก่องค์กรอย่างไรบ้าง:
1. เพิ่มประสิทธิภาพ (Increased Efficiency)
ข้อดีหลัก ประการหนึ่งของ ERP คือ ช่วยให้บริษัทต่างๆ ที่ยังคงทำงานแบบแมนนวล ได้มีอิสระในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้มากขึ้น สร้างมาตรฐานให้กับกระบวนการทางธุรกิจ ด้วยการใช้ข้อมูลในการคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาด เพื่อลดปัญหาคอขวดในการผลิต เวลารอคอยสินค้าสั้นลง และห่วงโซ่อุปทานมีความโปร่งใสและตอบสนองได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทั้งนี้การเพิ่มประสิทธิภาพจึงช่วยให้บริษัทก้าวสู่การเติบโตในตลาดการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
2. ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน (Improved Collaboration)
ระบบ ERP สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารภายในองค์กร ปรับปรุงการมีส่วนร่วมของพนักงาน ที่ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลการปฏิบัติงานได้ตามต้องการ ทำให้พนักงานเข้าใจการดำเนินงานและกระบวนการทั้งหมดของบริษัทได้แบบเรียลไทม์ ลดความซับซ้อนและความยุ่งยากในการทำงาน ซึ่งนำไปสู่เวิร์คโฟลว์ที่ราบรื่น ประหยัดต้นทุนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึง ความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างคู่ค้ารายสำคัญ ซัพพลายเออร์ และลูกค้า ที่ช่วยให้บริษัทสามารถขยายผลประโยชน์ทางธุรกิจต่อไปได้
3. ข้อมูลแบบเรียลไทม์และการรายงานอย่างแม่นยำ (Real-time Data & Enhanced Reporting)ประโยชน์หลักอีกข้อของ ERP คือ การเป็นศูนย์รวมข้อมูลอันทรงพลัง ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลการทำงานอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ สร้างรายงานที่มีประโยชน์ และเปรียบเทียบฟังก์ชันระหว่างแผนกต่างๆ โดยไม่ต้องใช้สเปรดชีต ตลอดจนการตรวจสอบด้านธุรกิจ เช่น ระดับสินค้าคงคลังในแต่ละวัน ช่วยควบคุมเงินทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นตัวช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้วยการรวมข้อมูลเข้ากับระบบ AI เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกตามความต้องการที่มีประสิทธิภาพแม่นยำมากขึ้น
4. การปฏิบัติตามข้อกำหนดของอุตสาหกรรม (Built-in Compliance)
ระบบ ERP ที่รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางด้านอุตสาหกรรม จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย แนวทางปฏิบัติ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง ยิ่งเป็นหลักเกณฑ์ระดับสากล ยิ่งต้องให้ความสำคัญ อีกทั้งลดความซับซ้อนในการดำเนินงานด้วยตนเอง
5. การเข้าถึงระบบคลาวด์ หรือ Cloud ERP(Cloud Accessibility)
แม้ว่าระบบ ERP จะรองรับการใช้งานภายในองค์กรเป็นหลัก แต่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความสามารถหลักของคลาวด์จะช่วยลดภาระให้กับเจ้าหน้าที่ไอทีในด้านการบำรุงรักษา มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลโดยเฉพาะ และมีความคล่องตัวในการปรับแต่งมากกว่า ERP แบบเดิม (On-premise) ซึ่งการใช้โซลูชัน ERP ที่โฮสต์บนคลาวด์ หมายความว่า ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา บนทุกอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถดำเนินการต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น
6. สร้างการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น (Better Customer Service)
ด้วยข้อมูลลูกค้าที่ถูกจัดเก็บไว้ในศูนย์กลางของระบบ ERP ทำให้ส่วนงานต่างๆ หรือแผนกในองค์กรสามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกันได้ อีกทั้งตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และปรับปรุงการส่งมอบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
7. ความยืดหยุ่น (Flexibility)
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้หลายคนพึงพอใจเกี่ยวกับระบบ ERP บนคลาวด์ ในปัจจุบัน คือ ความสามารถในการปรับแต่งโมดูลต่างๆ ตามความเหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจ
ข้อเสียของ ERP
แม้ว่าข้อดีของระบบ ERP จะมีมากกว่าข้อเสีย แต่ก็มีบางสิ่งที่บริษัทต้องพิจารณาเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วย ERP ได้อย่างเหมาะสมกับธุรกิจอย่างแท้จริง
1. ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (Upfront Costs)
สำหรับการนำระบบ ERP มาใช้เพื่อจัดการทรัพยากรในองค์กรค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนถือเป็นปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษา การฝึกอบรม และการนำซอฟต์แวร์อื่นๆ มาใช้เพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ดีหากบริษัทเลือกใช้โซลูชัน ERP ที่โฮสต์บนคลาวด์ ก็จะช่วยให้สามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะโซลูชัน Cloud ERP ให้บริการผ่านการสมัครสมาชิก (Subscription)
2. การฝึกอบรม (Training)
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากซอฟต์แวร์ ERP จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมที่เหมาะสม โดยครอบคลุมการทำงานที่สอดคล้องกับกระบวนการทางธุรกิจ นอกจากนี้อาจต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างแผนการฝึกอบรมเพื่อใช้งาน ERP ดังนั้น ERP ที่ดี ผู้ให้บริการจำเป็นต้องจัดหาที่คู่มือการใช้งาน และทรัพยากรอื่นๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้า ง่ายต่อการฝึกอบรมแก่พนักงานในองค์กรให้สามารถใช้งานระบบได้อย่างรวดเร็ว
3. ระยะเวลาการส่งมอบ (Buy-in)
การเปลี่ยนหรืออัพเกรด ERP มักใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ ต้องมีการประชุมหารือกันตลอดเวลาเพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้มักจะต้องได้รับการอนุมัติและการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง เพื่อความเข้าใจถึงคุณค่าของ ERP ตลอดจนการสร้างการตระหนักรู้ให้แก่พนักงานที่ใช้งานระบบ
4. การปรับแต่ง (Customization)
เพื่อให้กระบวนการทำงาน ERP เกิดประโยชน์สูงสุด ระบบควรได้รับการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของบริษัท เมื่อเป็นระบบที่องค์กรกำหนดเอง การปรับให้เหมาะสมกับความต้องการและแนวปฏิบัติทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ ERP มีคุณสมบัติครบถ้วน จึงต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมพร้อมพอสมควร
ข้อดีหนึ่งที่โซลูชัน QAD Adaptive ERP ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคำนึงถึงข้อเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ เป็นหลัก จึงทำให้สามารถลดปัญหาระหว่างการดำเนินงานต่างๆ และการใช้ประโยชน์จากระบบ ERP เพื่อเพิ่มโอกาส และทำให้ ROI ขององค์กรคุ้มค่าที่สุด
อุตสาหกรรมใดได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนำ ERP มาใช้งาน
ด้วยความสามารถของระบบ ERP ที่ช่วยให้เกือบทุกอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น:
- อตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive)
- อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products)
- อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (High Tech)
- อุตสาหกรรมการผลิตเชิงอุตสาหกรรม (Industrial Manufacturing)
- อุตสาหกรรมด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Life Sciences)
สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ก็สามารถได้รับประโยชน์จาก ERP ได้เช่นกัน เนื่องจาก ERP สำหรับการผลิตถูกพัฒนามาเพื่อช่วยปรับปรุงการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพให้กับทรัพยากร ประหยัดเวลา ลดต้นทุน และขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจที่วัดผลได้อย่างแม่นยำ
ประโยชน์ของการอัพเกรดหรือเปลี่ยนระบบ ERP สำหรับองค์กร
ERP ในตลาดปัจจุบันมีตัวเลือกและประโยชน์สำหรับธุรกิจมากมาย แต่หากคุณกำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ เพื่อช่วยพิจารณาว่าการอัพเกรดหรือการใช้งาน ERP จะเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทของคุณ ให้พิจารณาคำถามต่อไปนี้:
- คุณต้องการข้อมูลทางธุรกิจที่แม่นยำกว่านี้หรือไม่? ระบบ ERP จะช่วยรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญต่อการตัดสินใจ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการวางแผนและคาดการณ์การผลิตในอนาคต
- เมื่อบริษัทของคุณกำลังเติบโต แล้วคุณต้องการการเติบโตที่มากขึ้นหรือไม่? เป็นไปได้ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันของคุณมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะช่วยในการเติบโตไปพร้อมกับคุณ ดังนั้นการเลือก ERP ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณก้าวกระโดดสู่การเป็นผู้นำในตลาดแข่งขันได้
- ลูกค้าของคุณพอใจกับการผลิตหรือการบริการหรือไม่? หากไม่เป็นเช่นนั้น ระบบ ERP ที่ทันสมัยสามารถช่วยขจัดปัญหาต่างๆ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
- ระบบธุรกิจของคุณสามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการได้หรือไม่? การมีโซลูชันที่รองรับการทำงานทั่วทั้งบริษัท สามารถรวมทีมของคุณให้เข้าถึงศูนย์กลางข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและมีการสื่อสารระหว่างกันได้ดียิ่งขึ้น
- คุณกำลังมองหาวิธีลดต้นทุนหรือไม่? ระบบ ERP ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายได้หลายวิธี ตั้งแต่การวางแผนสินค้าคงคลังที่ได้รับการปรับปรุง และการคาดการณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ร้านค้า รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อและค่าขนส่ง
QAD Adaptive ERP เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไร?
ปัจจัยที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจตื่นตัวท่ามกลางวิกฤตการณ์หรือการหยุดชะงักต่างๆ คือ การประเมินระบบองค์กร ที่เป็นตัวช่วยสำคัญให้สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมข้อมูลจึงสำคัญ?
การมีซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์และนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและใช้ประโยชน์ทางการผลิตอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคลาวด์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการรวบรวม วิเคราะห์ และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างมาก อีกทั้งรองรับการทำงานโดยใช้อัลกอริธึมขั้นสูง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลที่รวบรวมเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนธุรกิจคือสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากการรวบรวมข้อมูลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับปัจจุบัน ดังนั้นการนำข้อมูลมาวิเคราะห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตของบริษัท ทั้งด้านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจลงทุน การระบุแนวโน้มอุตสาหกรรม และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน
อย่างไรก็ดีโซลูชัน QAD Adaptive ERP เป็นระบบที่นำข้อมูลเชิงลึกมาใช้ เพื่อช่วยให้บริษัทตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการปรับตัว และมีความคล่องตัวในการปรับแต่งโซลูชันให้เหมาะสมกับธุรกิจการผลิตโดยเฉพาะ ช่วยผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ และปรับปรุงโอกาสของบริษัทไปสู่ความสำเร็จ
เพื่อให้องค์กรก้าวสู่การเป็นผู้นำทางตลาดการแข่งขันได้ ระบบ ERP ที่ดีควรจะ:
- ลดความซับซ้อนของการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
- รองรับการติดตั้งและอัพเกรดได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
- ช่วยให้บริษัทต่างๆ นำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
ดังนั้นหากไม่มีซอฟต์แวร์ ERP ที่คล่องตัว บริษัทต่างๆ อาจประสบปัญหาในการตอบสนองต่อการหยุดชะงักทางธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ QAD Adaptive ERP ได้ที่โทร. 02 202 9363 หรืออีเมล์ si3@qad.com
ผู้เขียน
Caleb Finch
คาเลบ หนึ่งในทีมของ QAD Marketing Communication และเป็นผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเขารับผิดชอบในการเขียนบล็อก รวมทั้งดูแลจัดการ Social Media และเว็บไซต์