กรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ โดยเพศชายมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เพศหญิงมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ผลจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายปี ทําให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรต (Urate Crystal) ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
ประมาณร้อยละ 10-15 ของคนที่มีกรดยูริกในเลือดสูงจะเกิดข้ออักเสบหรือโรคเกาต์ ซึ่งแบ่งเป็นระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน ระยะสงบ และระยะเรื้อรังที่มีก้อนโทฟัส (Chronic Tophaceous Gout) ซึ่งได้แก่ เกลือยูเรตที่สะสมบริเวณต่างๆ หากสะสมที่ผิวหนังจะเกิดเป็นตุ่มก้อน, สะสมในข้อทำให้ข้อถูกทำลายผิดรูปได้
นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ เกลือยูเรตสะสมในไตเกิดไตวายเรื้อรัง, ภาวะนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และมักพบร่วมกับภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome) ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในโลหิตสูง เป็นต้น การวินิจฉัยโรคอาศัยประวัติและการตรวจร่างกาย ร่วมกับระดับกรดยูริกในเลือดสูง การตรวจพบลักษณะของผลึกยูเรตสะสมจากอัลตราซาวน์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และการตรวจพบผลึกเกลือยูเรตจากน้ำไขข้อ
แนวทางการรักษาโรคเกาต์ (Gout)
การรักษาโรคเกาต์ประกอบไปด้วยวิธีไม่ใช้ยา เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ร่วมกับการใช้ยา ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง โดยการรักษาจะต้องปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป
การรักษาโรคเกาต์โดยไม่ใช้ยา
- ลดน้ำหนักหากมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดแบบช้าๆ จนได้ดัชนีมวลกายที่เหมาะสม
- การรักษาโรคร่วมและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ การหยุดสูบบุหรี่
- ปรับเปลี่ยนยาที่มีผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูง เช่น ยาขับปัสสาวะบางชนิด
- แนะนําให้ดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวันในผู้ที่ไม่มีข้อห้าม เช่น โรคไตหรือโรคหัวใจบางประเภท
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยงดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีน (purine) สูง ซึ่งพิวรีนจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในร่างกาย
อาหารที่มีพิวรีนสูง
- เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ, ไส้, หัวใจ
- เนื้อแดง
- อาหารทะเล เช่น กุ้ง, หอย, ปลาซาร์ดีน, ปลาอินทรีย์
- น้ำเกรวี, กะปิ, ยีสต์, น้ำสกัดเนื้อ, ซุปก้อน, ปลาดุก
- ชะอม, กระถิน, เห็ด, ถั่วแดง, ถั่วเขียว, ถั่วเหลือง, ถั่วดำ
- ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้, ดอกกะหล่ำ, ผักโขม, สะตอ, ใบขี้เหล็ก
- เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลฟรุ๊กโตส
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
ผลไม้รสหวาน
- อาการที่รับประทานได้ตามปกติ
- นมสด, นมพร่องมันเนย, เนย, โยเกิร์ตไขมันต่ำ, น้ำเต้าหู้
- ข้าวชนิดต่างๆ ยกเว้น ข้าวโอ๊ต
- ผัก ผลไม้ชนิดต่างๆ นอกจากที่กล่าว
- ไข่
- ขนมปัง ขนมหวาน หรือน้ำตาล
- ไขมันจากพืช และสัตว์
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายที่มีโรคเกาต์กําเริบขึ้นภายหลังจากการรับประทานอาหาร ควรงดอาหารชนิดนั้นๆ ไป และควรปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยพิจารณาโรคร่วมอื่นๆ ด้วย
6. หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุต่อข้อ หรือการออกกําลังกายอย่างหักโหม เนื่องจากจะทําให้ข้ออักเสบกําเริบ 7. ขณะที่มีข้ออักเสบ ควรพักการใช้งานตำแหน่งดังกล่าว การประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการปวดบวมได้
การรักษาโดยใช้ยา
ประกอบไปด้วยการรักษา 2 อย่าง ได้แก่1. ยาควบคุมอาการอักเสบ
ใช้รักษาการอักเสบเฉียบพลัน และป้องกันการอักเสบกำเริบระหว่างปรับระดับกรดยูริกให้ได้ตามเป้าหมาย ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine), ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs; NSAIDs) และยาสเตียรอยด์ (Steroid)
โรคของเยื้อหุ้มหัวใจอาจทำคุณมีไข้และมีอาการเจ็บหน้าอกได้ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้สมรรถภาพการทำงานของร่างกายลดลง ควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเลาะเยื่อหุ้มหัวใจที่หนาออกไป ก็จะช่วยลดอาการเจ็บหน้าอกให้ดีขึ้นได้
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้มีปัญหาผิวหน้าลอกเป็นขุยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และเหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง
วิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวลอกเป็นขุยควรเลือกใช้ที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ pH 4.5-5.5 เนื่องจากเป็นค่ากลางของผิว ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารลดแรงตึงผิวเข้มข้นมากเกินไป(Surfactant) เพราะจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง คัน และผิวลอกเป็นขุยมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เช่น BHA AHA ในบางราย เพราะจะทำให้หน้าที่ลอกเป็นขุยเกิดการแดง และอักเสบ
บำรุงผิวทันทีหลังจากอาบน้ำหรือล้างหน้า
หลังจากอาบน้ำหรือล้างทำความสะอาดผิวหน้า ควรทาครีมบำรุง เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) หรืออโลเวล่าเจล (Aloe vera gel) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวในขณะที่ผิวยังหมาดๆ ผู้มีปัญหาผิวหน้าลอกเป็นขุยควรบำรุงผิวให้บ่อยที่สุด เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะช่วยเป็นเกราะป้องกันผิวได้
การเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวหน้า ควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน มีส่วนผสมจำพวกยูเรีย (Urea) เซราไมด์ (Ceramides) กลีเซอรอล (Glycerol) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) หรืออโลเวร่า เจล (Aloe vera gel) เป็นต้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทิ้งสิ่งตกค้างไว้บนใบหน้า รวมไปถึงหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำหอม และแอลกอฮอล์
Face Masks
การมาส์กหน้าเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ช่วยปลอบประโลมผิวหน้าแห้งเป็นขุยให้กลับมาชุ่มชื้นได้ การเลือกแผ่นมาส์กหน้าควรเลือกที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เช่น เจลว่านหางจระเข้ (Aloe vera gel) ไฮยาลูรอน (Hyaluronic) ออย น้ำผึ้ง เป็นต้น
อาบน้ำ ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ
การล้างหน้าหรืออาบน้ำสำหรับผู้ที่หน้าแห้งหรือมีผิวแห้งนั้นควรใช้น้ำอุ่นในการชำระล้างผิว ไม่ควรใช้น้ำร้อนจัด เพราะจะทำให้น้ำมันบนผิวสูญเสียไป
เลือกทานวิตามิน หรืออาหารที่มีประโยชน์
การดูแลผิวหน้าลอกเป็นขุยยังสามารถดูแลได้จากภายในได้เช่นกัน คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันให้ผิว
โดยอาหารที่ควรเน้นสำหรับปัญหาหน้าแห้งลอกคืออาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซีและโอเมก้า 3 เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทู ผักและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะสารอาหารเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนังให้เกิดความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมผิวแห้งเป็นขุยให้ค่อยๆ กลับมามีสุขภาพที่ดีได้ ในขณะที่เรานอนหลับนั้นร่างกายจะมีการซ่อมแซมตนเอง การพักผ่อนที่ดี เราควรนอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง
การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิว ทำให้ผิวดูอิ่มเอิบและมีสุขภาพดีขึ้น อีกทั้งการนอนหลับที่เพียงพอยังช่วยเรื่องผิวหน้าหมองคล้ำ และการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนังอีกด้วย เพราะในระหว่างการนอน ร่างกายจะทำการผลิตคอลลาเจนเพื่อป้องกันการหย่อนคล้อย
ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง SkinX
การพบแพทย์ผิวหนังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาผิวหน้าลอกเป็นขุย เนื่องจากแพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการได้อย่างตรงจุด รักษาและจ่ายยาได้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้น หากมีผิวแห้งมากจนเกิดการแสบคัน ผิวลอกเป็นขุย หรือมีการอักเสบเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการประเมินอาการ และโรคที่เกิดขึ้นเพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด เนื่องจากอาจจำเป็นต้องได้การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ (Steroid) เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง และยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อของผิวหนัง
การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังของ SkinX เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะไม่ต้องรอต่อคิว หรือเดินทาง ก็สามารถที่จะนัดและเข้ารับการรักษากับแพทย์ผิวหนังมากกว่า 210 ท่านได้ ผ่านทางแอปพลิเคชัน SkinX เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ
Shock Wave เหมาะกับใคร
ใครที่เหมาะกับการรักษาด้วย Shockwaveอาการปวดบริเวณข้อต่อสะโพก อาการเอ็นอักเสบเรื้อรัง อาการปวดข้อเข่าในนักกีฬากระโดดสูง
ช็อคเวฟ ต้องทำกี่ครั้ง
การทำ Shockwave แนะนำให้ทำเฉลี่ยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพราะการทำ Shockwave เป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตนเอง หลังการทำ Shockwave แต่ละครั้งจึงควรเว้นระยะเพื่อให้ร่างกายได้พักหลังจากผ่านช่วงการอักเสบไป และควรทำ Shockwave ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้ว่ามีความปวดรุนแรง ...
หน้าผากแบบไหนรวย
หน้าผากและขมับของคนที่มีโหวงเฮ้งดีต้องมีลักษณะนูน อิ่มเอิบ ไม่มีรอยตำหนิบนหน้าผาก สำหรับผู้ชายที่มีหน้าผากใหญ่ หน้าผากเต็ม เป็นคนที่มีวาสนาดี ทำงานอะไรก็มีความเจริญรุ่งเรือง ค้าขายร่ำรวย ส่วนผู้หญิงที่มีหน้าผากกว้างกำลังพอดีได้สัดส่วนกับรูปหน้า และหน้าผากไม่สูงเกินไปจะเป็นคนที่มีคู่ครองดี มีความสุขและความสำเร็จในชีวิต ...
Shock Wave ทำบ่อยแค่ไหน
เครื่อง Shock wave เป็นเครื่องมือที่มีความปลอดภัยได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา และองค์การอาหารและยาในประเทศไทย เครื่องมือ Shock wave ไม่มีการใช้รังสีใดๆ จึงมีปลอดภัยสูง -ความถี่ของการรักษา ปกติจะใช้เครื่อง Shock wave 1,000-2,000 ช็อต ต่อครั้งและสามารถรักษา 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ -แล้วทำไมต้องเป็น Focus shock wave.